รมว.พาณิชย์เตรียมเข้าหารือ รมว.คลังเรื่องสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าจนกระทบการส่งออก เชื่อกระทรวงการคลังมีมาตรการดูแลความผันผวนของค่าเงินบาท เตรียมประกาศตัวเลขส่งออกปี 2550 ในสัปดาห์หน้า โดยจะเน้นใกล้เคียงความเป็นจริงตามภาวะเศรษฐกิจในระดับประเทศ ภูมิภาคและระดับโลก

นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลเป็นห่วง เพราะได้รับการร้องเรียนจากผู้ส่งออกว่าได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเหตุผลที่เงินบาทแข็งค่ามาจากเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศค่อนข้างมาก แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง แต่คงจะรับภาระไม่ไหว ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐในแต่ละหน่วยงานจะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ โดยเร็ว ๆ นี้จะหารือกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อดูแลความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการดูแลค่าเงินบาทเป็นหน้าที่หลักของ ธปท. การดูแลด้านการตลาดเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ แต่กระทรวงการคลังก็สามารถเข้ามาดูแลผลกระทบจากค่าเงินบาทได้ ซึ่งความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน กระทรวงการคลังสามารถดูแลได้ในเรื่องภาษี ดอกเบี้ย แต่รายละเอียดคงต้องหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก่อน
นายเกริกไกร กล่าวในงานสัมมนาตลาดนัดการเงินเพื่อการส่งออก ซึ่งมีผู้ประกอบการทั้งภาคการเงินและการส่งออกเข้าร่วมงาน โดยระบุว่า การผลักดันการส่งออกในปี 2550 จะเป็นการประกาศตัวเลขการส่งออกที่ยึดหลักความเป็นจริงของภาคเศรษฐกิจ ซึ่งจะดูภาคเศรษฐกิจระดับโลก ภูมิภาค เป็นการกำหนดตัวเลขส่งออกที่ใกล้เคียงความเป็นจริงตามภาวะเศรษฐกิจ คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะสามารถประกาศตัวเลขเป้าหมายการส่งออกปี 2550 ได้ประมาณสัปดาห์หน้า
นายเกริกไกร กล่าวว่า นโยบายของกระทรวงพาณิชย์จะเน้นขายสติปัญญา คุณธรรมบนพื้นฐานระบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งนโยบายจะเร่งส่งเสริมการส่งออกทั้งสินค้าและบริการ จะมีการวางรากฐานการส่งออกระยะยาว โดยจะเร่งพัฒนากลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น (โอท็อป) ให้เป็นผู้ส่งออกสินค้าอย่างมีคุณภาพ โดยกำหนดเป้าหมายที่จะผลักดันส่งเสริมกลุ่มเอสเอ็มอีของไทยกว่า 500 ราย ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค และกลุ่มโอท็อปกว่า 300 ราย ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อเป็นผู้ส่งออกสินค้าไทย พร้อมกับจะเร่งสร้างเครือข่ายในต่างประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกทุกรูปแบบ แต่ภาคเอกชนจะต้องเข้ามามีบทบาท และที่สำคัญหากเอกชนต้องการทำตลาดก็ไม่ควรหวังระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) มากเกินไป เพราะเชื่อว่าศักยภาพของไทยยังสามารถจะพัฒนาการส่งออกได้อีกมาก จึงอยากฝากสถาบันการเงินว่าช่วยกันผลักดันให้ภาคธุรกิจบริการของไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา การที่นักธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศน้อยลง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนจะต้องมีการปรับตัวเอง และรัฐบาลพร้อมที่จะวางรากฐานพื้นฐานให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งต่อไป
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลเป็นห่วง เพราะได้รับการร้องเรียนจากผู้ส่งออกว่าได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเหตุผลที่เงินบาทแข็งค่ามาจากเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศค่อนข้างมาก แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง แต่คงจะรับภาระไม่ไหว ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐในแต่ละหน่วยงานจะเข้ามาดูแลเรื่องนี้ โดยเร็ว ๆ นี้จะหารือกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อดูแลความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการดูแลค่าเงินบาทเป็นหน้าที่หลักของ ธปท. การดูแลด้านการตลาดเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ แต่กระทรวงการคลังก็สามารถเข้ามาดูแลผลกระทบจากค่าเงินบาทได้ ซึ่งความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน กระทรวงการคลังสามารถดูแลได้ในเรื่องภาษี ดอกเบี้ย แต่รายละเอียดคงต้องหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก่อน
นายเกริกไกร กล่าวในงานสัมมนาตลาดนัดการเงินเพื่อการส่งออก ซึ่งมีผู้ประกอบการทั้งภาคการเงินและการส่งออกเข้าร่วมงาน โดยระบุว่า การผลักดันการส่งออกในปี 2550 จะเป็นการประกาศตัวเลขการส่งออกที่ยึดหลักความเป็นจริงของภาคเศรษฐกิจ ซึ่งจะดูภาคเศรษฐกิจระดับโลก ภูมิภาค เป็นการกำหนดตัวเลขส่งออกที่ใกล้เคียงความเป็นจริงตามภาวะเศรษฐกิจ คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะสามารถประกาศตัวเลขเป้าหมายการส่งออกปี 2550 ได้ประมาณสัปดาห์หน้า
นายเกริกไกร กล่าวว่า นโยบายของกระทรวงพาณิชย์จะเน้นขายสติปัญญา คุณธรรมบนพื้นฐานระบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งนโยบายจะเร่งส่งเสริมการส่งออกทั้งสินค้าและบริการ จะมีการวางรากฐานการส่งออกระยะยาว โดยจะเร่งพัฒนากลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น (โอท็อป) ให้เป็นผู้ส่งออกสินค้าอย่างมีคุณภาพ โดยกำหนดเป้าหมายที่จะผลักดันส่งเสริมกลุ่มเอสเอ็มอีของไทยกว่า 500 ราย ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค และกลุ่มโอท็อปกว่า 300 ราย ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อเป็นผู้ส่งออกสินค้าไทย พร้อมกับจะเร่งสร้างเครือข่ายในต่างประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกทุกรูปแบบ แต่ภาคเอกชนจะต้องเข้ามามีบทบาท และที่สำคัญหากเอกชนต้องการทำตลาดก็ไม่ควรหวังระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) มากเกินไป เพราะเชื่อว่าศักยภาพของไทยยังสามารถจะพัฒนาการส่งออกได้อีกมาก จึงอยากฝากสถาบันการเงินว่าช่วยกันผลักดันให้ภาคธุรกิจบริการของไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา การที่นักธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศน้อยลง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนจะต้องมีการปรับตัวเอง และรัฐบาลพร้อมที่จะวางรากฐานพื้นฐานให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งต่อไป