การใช้บริษัทภายนอกหรือระบบเอาท์ซอร์สพ่นพิษ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ถูกฟ้องร้องหลายโครงการทำให้งานล่าช้า พนักงานเอาท์ซอร์สถูกเอาเปรียบ ส่งผล กฟภ.เสนอขอตั้งบริษัทดูแลเอง คาดเพิ่มประสิทธิภาพและคุมงบประมาณดีกว่า จากที่แต่ละปีมีเอาท์ซอร์ส์ถึง 20,000 คน รวมทั้งเสนอตั้งบริษัทด้านวิศวกรรม เพื่อให้การทำงานคล่องตัวเหมือนเอกชน
นายประเจิด สุขแก้ว ผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เปิดเผยว่า ได้เสนอต่อกระทรวงการคลัง ขอจัดตั้งบริษัทในเครือ 2 บริษัท คือ บริษัท ก่อสร้างวิศวกรรม และบริษัท ธุรกิจจัดหาแรงงาน โดยทั้ง 2 บริษัทจะทำหน้าที่ดูแลงานใน กฟภ. เพื่อให้มีความคล่องตัวและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แก้ปัญหาเรื่องการใช้บริษัทภายนอก หรือเอาท์ซอร์ส ที่ขณะนี้ประสบปัญหามาก ทั้งในแง่ที่ กฟภ.ถูกโจมตีว่าเลือกปฏิบัติ มีการคัดเลือกบริษัทในเครือแบบไม่โปร่งใส โดยถูกโจมตีว่าเงื่อนไขประมูลหรือทีโออาร์ ไม่เป็นธรรม ซึ่งในขณะนี้ กฟภ.ได้สั่งระงับโครงการประมูลไป 13 สัญญาแล้ว อาจทำให้งานล่าช้า และที่สำคัญ พนักงานเอาท์ซอร์สมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทเอกชน โดยขณะนี้ กฟภ.มีพนักงานเอาท์ซอร์สถึง 20,000 คน จากสัญญารวมประมาณ 100 สัญญา โดยทำในหลากหลายหน้าที่ทั้งการปักเสาพาดสาย งานดูแลระบบ งานขับรถต่าง ๆ งานทำความสะอาด
ทั้งนี้ บริษัทธุรกิจจัดหาแรงงานในธุรกิจไฟฟ้าของ กฟภ.นั้น ได้เสนอให้มีทุนจดทะเบียนในการจัดตั้ง 50 ล้านบาท โดยแต่ละปี กฟภ.จะใช้งบประมาณจัดจ้างประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี ส่วนบริษัทก่อสร้างวิศวกรรมเสนอทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท คาดว่าจะมีพนักงานประมาณ 500 คน ทำหน้าที่ติดตั้งไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหม่ การขยายระบบเดิม โดยหากมีการทำงานในรูปแบบเอกชนจะทำให้เกิดความคล่องตัวและบริษัทดังกล่าวอาจออกไปรับงานนอก กฟภ.ในอนาคต
นายประเจิด กล่าวอีกว่า แม้ว่าขณะนี้นโยบายแปรรูปจะหยุดชะงักไป แต่ กฟภ.ก็ต้องเตรียมพร้อมปรับองค์กรให้มีความคล่องตัว เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะหากดูแผนการเงินแล้ว กฟภ.จำเป็นต้องกู้เงินเฉลี่ยประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในส่วนภูมิภาคที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 5-8 โดยกำลังศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อจัดตั้งบริษัทในเครือในบางธุรกิจ เพื่อให้เป็นลักษณะเอกชน เช่น งานบริการไฟฟ้า งานเกี่ยวกับธุรกิจต่อเนื่องของไฟฟ้า งานบำรุงรักษาวิศวกรรม ซึ่งปัจจุบัน กฟภ.มีพนักงานประมาณ 27,000 คน มีรายได้ประมาณ 250,000 ล้านบาท/ปี และมีกำไรประมาณ 12,000 ล้านบาท/ปี
นายประเจิด สุขแก้ว ผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เปิดเผยว่า ได้เสนอต่อกระทรวงการคลัง ขอจัดตั้งบริษัทในเครือ 2 บริษัท คือ บริษัท ก่อสร้างวิศวกรรม และบริษัท ธุรกิจจัดหาแรงงาน โดยทั้ง 2 บริษัทจะทำหน้าที่ดูแลงานใน กฟภ. เพื่อให้มีความคล่องตัวและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แก้ปัญหาเรื่องการใช้บริษัทภายนอก หรือเอาท์ซอร์ส ที่ขณะนี้ประสบปัญหามาก ทั้งในแง่ที่ กฟภ.ถูกโจมตีว่าเลือกปฏิบัติ มีการคัดเลือกบริษัทในเครือแบบไม่โปร่งใส โดยถูกโจมตีว่าเงื่อนไขประมูลหรือทีโออาร์ ไม่เป็นธรรม ซึ่งในขณะนี้ กฟภ.ได้สั่งระงับโครงการประมูลไป 13 สัญญาแล้ว อาจทำให้งานล่าช้า และที่สำคัญ พนักงานเอาท์ซอร์สมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทเอกชน โดยขณะนี้ กฟภ.มีพนักงานเอาท์ซอร์สถึง 20,000 คน จากสัญญารวมประมาณ 100 สัญญา โดยทำในหลากหลายหน้าที่ทั้งการปักเสาพาดสาย งานดูแลระบบ งานขับรถต่าง ๆ งานทำความสะอาด
ทั้งนี้ บริษัทธุรกิจจัดหาแรงงานในธุรกิจไฟฟ้าของ กฟภ.นั้น ได้เสนอให้มีทุนจดทะเบียนในการจัดตั้ง 50 ล้านบาท โดยแต่ละปี กฟภ.จะใช้งบประมาณจัดจ้างประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี ส่วนบริษัทก่อสร้างวิศวกรรมเสนอทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท คาดว่าจะมีพนักงานประมาณ 500 คน ทำหน้าที่ติดตั้งไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหม่ การขยายระบบเดิม โดยหากมีการทำงานในรูปแบบเอกชนจะทำให้เกิดความคล่องตัวและบริษัทดังกล่าวอาจออกไปรับงานนอก กฟภ.ในอนาคต
นายประเจิด กล่าวอีกว่า แม้ว่าขณะนี้นโยบายแปรรูปจะหยุดชะงักไป แต่ กฟภ.ก็ต้องเตรียมพร้อมปรับองค์กรให้มีความคล่องตัว เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะหากดูแผนการเงินแล้ว กฟภ.จำเป็นต้องกู้เงินเฉลี่ยประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในส่วนภูมิภาคที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 5-8 โดยกำลังศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อจัดตั้งบริษัทในเครือในบางธุรกิจ เพื่อให้เป็นลักษณะเอกชน เช่น งานบริการไฟฟ้า งานเกี่ยวกับธุรกิจต่อเนื่องของไฟฟ้า งานบำรุงรักษาวิศวกรรม ซึ่งปัจจุบัน กฟภ.มีพนักงานประมาณ 27,000 คน มีรายได้ประมาณ 250,000 ล้านบาท/ปี และมีกำไรประมาณ 12,000 ล้านบาท/ปี