xs
xsm
sm
md
lg

เอส แอนด์ พีโหมร้านอาหารปีหน้า เร่งลดต้นทุนหลังไมเนอร์ฯถือหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอส แอนด์ พี หวังผนึกกำลังร่วมกับไมเนอร์ ฟู้ด ทำตลาดด้านอาหาร ล่าสุด เปิดตัวสินค้าคอลเลกชันใหม่ เน้นความเป็นไทยต้อนรับเทศกาลปีใหม่นี้ คาดหวังยอดขาย150 ล้านบาท หรือโตขึ้นจากปีก่อน 15% แย้มแผนปีหน้าเตรียมงบลงทุน 100 ล้านบาท ขยาย30 สาขา พร้อมโฟกัสร้านอาหารและสินค้าขนมไทยมากขึ้น

นายวิทูร ศิลาอ่อน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการบริหารงานของบริษัทในอนาคตจะมีการทำร่วมกับบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารร้านอาหารเดอะ พิซซ่า คอมปะนี มากขึ้น หลังจากที่ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด ได้เข้ามาซื้อหุ้นในบริษัท เอส แอนด์ พี ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ในสัดส่วนประมาณ 18% หรือคิดเม็ดเงินกว่า 240 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นความร่วมมือของทั้งสองบริษัทอาจจะเป็นเรื่องระบบคอลล์เซ็นเตอร์ ที่ใช้ส่งสินค้าแบบดีลิเวอรีที่อาจใช้ร่วมกัน และด้านระบบการจัดซื้อสินค้าที่ช่วยประหยัดต้นทุน เป็นต้น

ส่วนแผนการตลาดในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ออกแบบเป็นลวดลายไทย เพื่อใช้มอบเป็นของขวัญในทุกโอกาส ซึ่งความพิเศษของผลิตภัณฑ์ขนมไทยนี้ เช่น เค้กใบกุหลาบขาว ขนมเค้กรสใบเตย รสชา รสเผือก ฯลฯ ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ บริษัทคาดว่า จะมียอดรายได้กว่า 150 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 10-15%

“เอส แอนด์ พี จะหันมามุ่งเน้นสินค้าที่เป็นขนมไทยร่วมสมัยมากขึ้น ภายใต้ชื่อ “เอส แอนด์ พี ซิมพลีไทย” เนื่องจากปัจจุบันพบว่าขนมไทยมีแพกเกจไม่สวยและหาทานยาก เบื้องต้นจะวางขายสินค้าในร้านเครือเอส แอนด์ พี 10 สาขา ได้แก่ ปิ่นเกล้า, ลาดพร้าว และสยามพารากอน เป็นต้น จากนั้นหากได้รับการตอบรับดีจะขยายสาขาเพิ่ม ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังยอดรายได้สินค้ากลุ่มดังกล่าวนี้ในปีหน้าจะมีสัดส่วน 5% ของยอดขายรวม”

สำหรับแผนการตลาดในปีหน้าบริษัทเตรียมใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ในการขยายสาขาร้านอาหารและเบเกอรี่ในเครือรวม 30 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเน้นเปิดสาขาในกรุงเทพฯเป็นหลัก คิดเป็น 90% และที่เหลือ 10% เป็นต่างจังหวัด ปัจจุบัน เอส แอนด์ พี มีสาขารวมกว่า250 แห่ง แบ่งเป็นเบเกอรี่ 170 สาขา และร้านอาหาร 80 สาขา โดยในปีหน้าบริษัทจะมุ่งเน้นการทำตลาดไปที่ร้านอาหารเป็นหลัก เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนยอดรายได้ของร้านอาหารมีน้อย หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% โดยเบเกอรี่มีสัดส่วนมากสุด 50% เครื่องดื่ม 10% และอื่นๆเช่น ไส้กรอก 10% ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังว่า ภายใน 3-5 ปีข้างหน้าสัดส่วนยอดรายได้ของร้านอาหารและเบเกอรี่จะเท่ากันที่ 40%


กำลังโหลดความคิดเห็น