การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มั่นใจบริหารต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้ และจะส่งผลต่อค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดต่อไปเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2550 ซึ่งเข้าสู่ฤดูร้อนและจะมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น โดยการบริหารจัดการค่าเอฟที เน้นเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงราคาต่ำ คือ ถ่านหินและพลังน้ำ พร้อมระบุการใช้ไฟฟ้าเดือนตุลาคมลดลง เพราะภาวะน้ำท่วมและอากาศหนาว
นายวินิจ แตงน้อย รองผู้ว่าการควบคุมระบบ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงผลการวิเคราะห์และประเมินการบริหารจัดการผลิตและซื้อไฟฟ้า เพื่อเป็นการสนองนโยบายการปรับลดค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดเดือนตุลาคม 2549 - มกราคม 2550 ลง 7.02 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 78.42 สตางค์ต่อหน่วย จากงวดก่อนที่เรียกเก็บ 85.44 สตางค์ต่อหน่วย ว่า กฟผ. ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม 2549 ซึ่งเป็นเดือนแรกของการเรียกเก็บค่าเอฟทีงวดใหม่ พบว่ามีการผลิตและซื้อพลังงานไฟฟ้ารวม 12,037 ล้านหน่วย น้อยกว่าแผนที่ประมาณการไว้ 12,198 ล้านหน่วย 161 ล้านหน่วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากอากาศหนาวอุณหภูมิลดลง และสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางกว่า 46 จังหวัด ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง
“เมื่อประเมินจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ และปริมาณเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าในเดือนตุลาคม พบว่า กฟผ. สามารถนำเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาแพง โดยเฉพาะน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลลดลง ซึ่งมีปริมาณการใช้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำให้ กฟผ. มั่นใจว่าในช่วง 3 เดือนที่เหลือ การผลิตและการใช้เชื้อเพลิงจะเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้การบริหารค่าเอฟทีงวดล่าสุด ทำได้ตามมติให้ลดค่าเอฟทีลง 7.02 สตางค์ต่อหน่วย และจะส่งผลดีต่อการบริหารค่าเอฟทีของงวดหน้าเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม 2550 ที่จะมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะย่างเข้าฤดูร้อนอีกด้วย” รองผู้ว่าการ กฟผ.กล่าว
นายวินิจ กล่าวอีกว่า ตามแผนการบริหารจัดการผลิตและซื้อไฟฟ้า กฟผ. ได้บำรุงรักษาโรงไฟฟ้าให้มีความพร้อม สำหรับการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ และสอดคล้องกันระหว่างเชื้อเพลิงกับโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทที่มีอยู่ในระบบ โดยเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่จะใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินและลิกไนต์ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนต่ำให้มากที่สุด สำหรับเดือนตุลาคม 2549 กฟผ. ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าและลิกไนต์ 2,259 ล้านหน่วย มากกว่าแผนที่กำหนดไว้ 1,835 ล้านหน่วย ถึง 424 ล้านหน่วย เนื่องจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จ.ระยอง หน่วยที่ 1 ใช้ถ่านหินนำเข้าเป็นเชื้อเพลิง มีความพร้อมสามารถจ่ายไฟได้มากกว่าประมาณการและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีหน่วยที่ 2 มีการทดสอบการจ่ายไฟฟ้ามากกว่าแผนที่ประมาณการไว้
นอกจากนี้ กฟผ. ยังสามารถผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำได้ถึง 846 ล้านหน่วยมากกว่าแผนที่กำหนดไว้ 460 ล้านหน่วย ถึง 386 ล้านหน่วย เนื่องจากมีปริมาณน้ำเข้าเขื่อนสูงกว่าเกณฑ์ปกติมาก สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในเดือนตุลาคม ตามแผนประมาณการว่าจะใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,924 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน แต่ใช้จริงเพียง 1,855 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตา คาดว่าจะใช้ 167 ล้านลิตร แต่ในความเป็นจริงใช้เพียง 35 ล้านลิตร และใช้นำมันดีเซลเพียง 0.4 ล้านลิตร จากที่ประมาณการไว้ 2.3 ล้านลิตร
นายวินิจ แตงน้อย รองผู้ว่าการควบคุมระบบ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงผลการวิเคราะห์และประเมินการบริหารจัดการผลิตและซื้อไฟฟ้า เพื่อเป็นการสนองนโยบายการปรับลดค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดเดือนตุลาคม 2549 - มกราคม 2550 ลง 7.02 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 78.42 สตางค์ต่อหน่วย จากงวดก่อนที่เรียกเก็บ 85.44 สตางค์ต่อหน่วย ว่า กฟผ. ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม 2549 ซึ่งเป็นเดือนแรกของการเรียกเก็บค่าเอฟทีงวดใหม่ พบว่ามีการผลิตและซื้อพลังงานไฟฟ้ารวม 12,037 ล้านหน่วย น้อยกว่าแผนที่ประมาณการไว้ 12,198 ล้านหน่วย 161 ล้านหน่วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากอากาศหนาวอุณหภูมิลดลง และสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางกว่า 46 จังหวัด ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง
“เมื่อประเมินจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ และปริมาณเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าในเดือนตุลาคม พบว่า กฟผ. สามารถนำเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาแพง โดยเฉพาะน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลลดลง ซึ่งมีปริมาณการใช้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทำให้ กฟผ. มั่นใจว่าในช่วง 3 เดือนที่เหลือ การผลิตและการใช้เชื้อเพลิงจะเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้การบริหารค่าเอฟทีงวดล่าสุด ทำได้ตามมติให้ลดค่าเอฟทีลง 7.02 สตางค์ต่อหน่วย และจะส่งผลดีต่อการบริหารค่าเอฟทีของงวดหน้าเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม 2550 ที่จะมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะย่างเข้าฤดูร้อนอีกด้วย” รองผู้ว่าการ กฟผ.กล่าว
นายวินิจ กล่าวอีกว่า ตามแผนการบริหารจัดการผลิตและซื้อไฟฟ้า กฟผ. ได้บำรุงรักษาโรงไฟฟ้าให้มีความพร้อม สำหรับการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ และสอดคล้องกันระหว่างเชื้อเพลิงกับโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทที่มีอยู่ในระบบ โดยเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่จะใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินและลิกไนต์ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนต่ำให้มากที่สุด สำหรับเดือนตุลาคม 2549 กฟผ. ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าและลิกไนต์ 2,259 ล้านหน่วย มากกว่าแผนที่กำหนดไว้ 1,835 ล้านหน่วย ถึง 424 ล้านหน่วย เนื่องจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จ.ระยอง หน่วยที่ 1 ใช้ถ่านหินนำเข้าเป็นเชื้อเพลิง มีความพร้อมสามารถจ่ายไฟได้มากกว่าประมาณการและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีหน่วยที่ 2 มีการทดสอบการจ่ายไฟฟ้ามากกว่าแผนที่ประมาณการไว้
นอกจากนี้ กฟผ. ยังสามารถผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำได้ถึง 846 ล้านหน่วยมากกว่าแผนที่กำหนดไว้ 460 ล้านหน่วย ถึง 386 ล้านหน่วย เนื่องจากมีปริมาณน้ำเข้าเขื่อนสูงกว่าเกณฑ์ปกติมาก สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในเดือนตุลาคม ตามแผนประมาณการว่าจะใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,924 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน แต่ใช้จริงเพียง 1,855 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตา คาดว่าจะใช้ 167 ล้านลิตร แต่ในความเป็นจริงใช้เพียง 35 ล้านลิตร และใช้นำมันดีเซลเพียง 0.4 ล้านลิตร จากที่ประมาณการไว้ 2.3 ล้านลิตร