เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้หลายคน คงไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม "คั่นกี่น้ำเต้าทอง" แต่ถ้าเป็นคนสมัยก่อนคงรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ผลิตยาตำรับโบราณ "ยาขมตราน้ำเต้าทอง" มีอายุอานามปัจจุบันเข้าไป 104 ปีแล้ว
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คั่นกี่น้ำเต้าทอง หรือทายาทรุ่นที่ 4 อย่าง"ชวน ธรรมสุริยะ" กำลังเผชิญกับความท้าทายอันยากยิ่ง โดยเฉพาะมรสุมใหญ่ ข้อจำกัดของตำรับโบราณไม่สามารถอ้างอิงถึงสรรพคุณได้ หรือไม่มีผลทางการแพทย์มายืนยัน
นายชวน ธรรมสุริยะ ทายาทรุ่นที่ 4 ของ บริษัท คั่นกี่น้ำเต้าทอง จำกัด ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการหรือบังเหียนใหญ่ของบริษัท ได้เล่าประวัติความเป็นมาว่า ชื่อเสียงคั่นกี่น้ำเต้าทอง มาจากทายาทรุ่นแรกหรือรุ่นทวด"ไค้ ธรรมสุริยะ"นำยาตำรับจีนตอนใต้ ซึ่งก็คือยาขมน้ำเต้าทอง มาจำหน่ายย่านเจริญกรุงราคาประมาณ 2 สตางค์ต่อ 1แก้ว ตั้งแต่ปี 2444 ต่อมารุ่นคุณปู่ก็รับช่วงสานกิจการอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปัจจุบันยาขมน้ำเต้าทองจำหน่ายราคา 7 บาทต่อ 1 แก้ว
ในรุ่นที่ 4 หรือของผมนั้น เป็นยุคที่บริษัทเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากยาตำรับโบราณไม่สามารถอ้างอิงถึงสรรพคุณได้ หรือไม่มีผลทางการแพทย์มายืนยัน ผลประกอบการจึงไม่มีอัตราการเติบโตเท่าที่ควร หรือยอดขายไม่แตะ 100 ล้านบาทสักที
ดังนั้นในรุ่นของผม จึงคิดนอกกรอบมากขึ้น แต่ยังคงยึดธุรกิจเดิม คือ การทำสมุนไพรเป็นหลัก เพียงแต่แตกโปรดักส์ไลน์ใหม่ ในกลุ่มเครื่องดื่มสมุนไพรภายใต้แบรนด์"เฮิร์บ ทู โอ" ในบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ท ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่บริษัทได้สลัดคราบหรือภาพลักษณ์ของการธุรกิจเป็นยาออก
"เครื่องดื่มสมุนไพรเฮิร์บ ทู โอ เป็นแบรนด์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขยายฐานลูกค้าอายุ 30 ปี ซึ่งจะเป็นฐานลูกค้าคั่นกี่น้ำเต้าทองในอนาคต แต่ในปีหน้าเราได้เตรียมสร้างฐานลูกค้าเด็กลงมาอีก เจาะกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัยหรือกลุ่มคนที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ด้วยการแตกโปรดักส์ไลน์ลูกอมสมุนไพรเฮิร์บ ทู โอ"
นายชวน กล่าวเพิ่มเติมว่า เฮิร์บ ทู โอ เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทายาทรุ่นที่ 4 จะทิ้งรอยต่อให้ทายาทรุ่นที่ 5 หรือบุตรชายณรงค์ชัย ธรรมสุริยะ คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงอายุ 30 ปี มาสานต่ออาณาจักรธุรกิจสมุนไพรแนวใหม่ต่อ โดยนายชวนได้วางแผนจะเกษียณอายุตัวเองเมื่ออายุครบ 60ปี ปัจจุบันตนเอง 57ปีแล้ว เหลือเวลาอีก 3ปีเท่านั้นที่เป็นช่วงเวลาของการทำงาน
สำหรับบุตรชายที่จะเข้ามารับช่วงต่อนั้น มีดีกรีการไปร่ำไปเรียนมาจากต่างประเทศ โดยจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านเทคโนโลยีอาหาร จากประเทศออสเตรเลีย และเริ่มเข้ามาเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของบริษัท ซึ่งเฮิร์บ ทู โอ ก็เป็นผลงานที่บุตรชายมีส่วนร่วมพัฒนา
ท้ายที่สุดคงต้องมาจับตาดูว่า การปรับตัวของคั่นกี่น้ำเต้าทอง จากผู้ผลิตจำหน่ายยาตำรับโบราณ สู่ภาพธุรกิจใหม่สมุนไพรแนวใหม่ ทันสมัยทั้งบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม การดื่มที่ง่ายขึ้น จะมัดใจหรือดึงดูกกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้มากนักแค่ไหน แต่ด้วยประวัติศาสตร์ที่มาอย่างยาวนาน คงจะเป็นเครื่องการันตี ถึงการสร้างอาณาจักรสมุนไพรแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี