กรมการขนส่งทางอากาศ ระบุ เคยประกาศเขตปลอดภัยทางการบินในพื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ตั้งแต่ปี 2516 พร้อมย้ำข้อเรียกร้องของชาวบ้านที่ต้องการให้ย้ายเที่ยวบินในประเทศกลับไปใช้สนามบินดอนเมืองเป็นไปได้ยาก เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค
จากกรณีที่มีกระแสข่าว ระบุว่า ปัญหาผลกระทบจากเสียงเครื่องบินที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมินั้น มาจากการที่กรมการขนส่งทางอากาศไม่เคยประกาศว่าพื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเขตปลอดภัยทางการบิน ทำให้มีชาวบ้านและหมู่บ้านต่างๆ เข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก และได้รับความเดือดร้อนจากเสียงของเครื่องบินภายหลังที่สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดให้บริการแล้ว
นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ ชี้แจงว่า กรมการขนส่งทางอากาศ เคยประกาศเขตพื้นที่ปลอดภัยทางการบินแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 และมีการปรับปรุงประกาศอีกครั้งในปี พ.ศ.2535 ซึ่งในประกาศตามกฎหมายการเดินอากาศดังกล่าว ได้ระบุถึงความสูงของสิ่งปลูกสร้าง วัสดุที่ใช้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางการบิน แต่ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงผลกระทบทางเสียงและสิ่งแวดล้อม ทำให้เมื่อเกิดปัญหาผลกระทบทางเสียงขึ้นก็จำเป็นต้องทยอยแก้ไขปัญหา และให้ความช่วยเหลือตามระดับความรุนแรง ซึ่งเบื้องต้นได้ใช้วิธีการปรับเทคนิคการบิน และกระจายความถี่ของเที่ยวบินในแต่ละรันเวย์ เพื่อลดผลกระทบ โดยพบว่าวิธีดังกล่าวสามารถช่วยลดความถี่เสียงและผลกระทบทางเสียงได้กว่า 10 เดซิเบล
ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ก็จะเป็นไปตามมาตรการของทาง ทอท.ทั้งเรื่องการจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวบ้านที่ต้องย้ายพื้นที่อยู่อาศัยออกจากเขตการบิน และตกแต่งปรับปรุงบ้านที่ได้รับผลกระทบทางเสียงน้อยกว่า 40 NEF หรือ 70-75 เดซิเบล ให้สามารถป้องกันเสียงได้
สำหรับข้อเรียกร้องของชาวบ้านที่ต้องการให้ ทอท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาย้ายเที่ยวบินในประเทศให้กลับไปใช้สนามบินดอนเมือง เพื่อลดปริมาณและความถี่ของเสียงรบกวนนั้น อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นไปได้ยาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสารที่ต้องการจะเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สะดวกและเป็นอุปสรรคต่อการเป็นศูนย์กลางทางการบินในภูมิภาคของสนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ ยังได้ให้คำแนะนำกับผู้บริหาร ทอท.เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเสนอว่า ทอท.ควรจัดทีมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของวิทยุการบิน กรมการขนส่งทางอากาศ นักบิน และตัวแทนสายการบิน ลงพื้นที่เข้าไปชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาและดูแลชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างใกล้ชิด และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ชาวบ้านเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และลดความกดดันให้กับชาวบ้านได้
จากกรณีที่มีกระแสข่าว ระบุว่า ปัญหาผลกระทบจากเสียงเครื่องบินที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมินั้น มาจากการที่กรมการขนส่งทางอากาศไม่เคยประกาศว่าพื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเขตปลอดภัยทางการบิน ทำให้มีชาวบ้านและหมู่บ้านต่างๆ เข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก และได้รับความเดือดร้อนจากเสียงของเครื่องบินภายหลังที่สนามบินสุวรรณภูมิ เปิดให้บริการแล้ว
นายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ ชี้แจงว่า กรมการขนส่งทางอากาศ เคยประกาศเขตพื้นที่ปลอดภัยทางการบินแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 และมีการปรับปรุงประกาศอีกครั้งในปี พ.ศ.2535 ซึ่งในประกาศตามกฎหมายการเดินอากาศดังกล่าว ได้ระบุถึงความสูงของสิ่งปลูกสร้าง วัสดุที่ใช้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางการบิน แต่ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงผลกระทบทางเสียงและสิ่งแวดล้อม ทำให้เมื่อเกิดปัญหาผลกระทบทางเสียงขึ้นก็จำเป็นต้องทยอยแก้ไขปัญหา และให้ความช่วยเหลือตามระดับความรุนแรง ซึ่งเบื้องต้นได้ใช้วิธีการปรับเทคนิคการบิน และกระจายความถี่ของเที่ยวบินในแต่ละรันเวย์ เพื่อลดผลกระทบ โดยพบว่าวิธีดังกล่าวสามารถช่วยลดความถี่เสียงและผลกระทบทางเสียงได้กว่า 10 เดซิเบล
ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ก็จะเป็นไปตามมาตรการของทาง ทอท.ทั้งเรื่องการจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวบ้านที่ต้องย้ายพื้นที่อยู่อาศัยออกจากเขตการบิน และตกแต่งปรับปรุงบ้านที่ได้รับผลกระทบทางเสียงน้อยกว่า 40 NEF หรือ 70-75 เดซิเบล ให้สามารถป้องกันเสียงได้
สำหรับข้อเรียกร้องของชาวบ้านที่ต้องการให้ ทอท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาย้ายเที่ยวบินในประเทศให้กลับไปใช้สนามบินดอนเมือง เพื่อลดปริมาณและความถี่ของเสียงรบกวนนั้น อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นไปได้ยาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสารที่ต้องการจะเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สะดวกและเป็นอุปสรรคต่อการเป็นศูนย์กลางทางการบินในภูมิภาคของสนามบินสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ ยังได้ให้คำแนะนำกับผู้บริหาร ทอท.เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเสนอว่า ทอท.ควรจัดทีมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของวิทยุการบิน กรมการขนส่งทางอากาศ นักบิน และตัวแทนสายการบิน ลงพื้นที่เข้าไปชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาและดูแลชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างใกล้ชิด และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ชาวบ้านเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และลดความกดดันให้กับชาวบ้านได้