ผู้บริหารเมเจอร์ มั่นใจปี 2550 จะเป็นปีทองของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15-20 เนื่องจากจะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ด รวมทั้งภาพยนตร์ไทยภาคต่อเข้าฉาย ซึ่งจะทำรายได้มากขึ้น ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ปีหน้าถึงร้อยละ 30 หลังจากที่มีกำไร 9 เดือนแรก 578 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 43
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือเมเจอร์ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้เติบโตร้อยละ 15 โดยเป็นปีที่ภาพยนตร์ทำรายได้น้อยกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่คาดว่าในไตรมาสที่ 4 อุตสาหกรรมภาพยนตร์จะดีขึ้น เพราะจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรม โดยจะมีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉาย เช่น 007 CASINO ROYALE ซึ่งจะเข้าฉายในวันพรุ่งนี้ (16 พ.ย.) ERAGON ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไตรภาค รวมทั้งพระนเรศวร ซึ่งคาดว่าจะเข้าฉายในเดือนธันวาคมนี้
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปี 2550 คาดว่าจะเป็นปีทอง หากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศนิ่ง โดยอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15-20 จะมีภาพยนตร์เข้าฉายทั้งหมด 250-300 เรื่อง แบ่งเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 150-200 เรื่อง และภาพยนตร์ไทย 50 เรื่อง โดยคาดว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ด และเป็นหนังภาคต่อ เช่น Spider Man 3, Harry Potter and the Order of The Phoenix เป็นต้น จะทำรายได้มากขึ้น เช่นเดียวกับภาพยนตร์ไทย อย่างเช่น บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 องค์บาก 2 ขณะเดียวกัน ก็จะมีโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอีก 60-70 โรง ในปี 2550 โดยเป็นโรงภาพยนตร์ของเครือเมเจอร์ ประมาณ 40 โรง และโบว์ลิ่งอีก 80–100 เลน ซึ่งเมเจอร์ใช้เงินลงทุน 600-800 ล้านบาท และในเดือนธันวาคม 2549 ทางเมเจอร์จะเปิดโรงภาพยนตร์ “เอสพานาร์ด ซีนีเพล็กซ์” ย่านรัชดาภิเษก รวมทั้งจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายตั๋วชมภาพยนตร์ให้ถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต
นายวิชา กล่าวถึงผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2549 ว่า บริษัทมีรายได้ 3,819 ล้านบาท กำไรสุทธิ 578 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.78 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้รวม 1,314 ล้านบาท กำไรสุทธิ 189 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.25 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทคาดว่าในปี 2550 รายได้ของเครือเมเจอร์จะเติบโตประมาณร้อยละ 30 ซึ่งมาจากทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจที่เข้าไปร่วมลงทุน
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือเมเจอร์ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้เติบโตร้อยละ 15 โดยเป็นปีที่ภาพยนตร์ทำรายได้น้อยกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่คาดว่าในไตรมาสที่ 4 อุตสาหกรรมภาพยนตร์จะดีขึ้น เพราะจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรม โดยจะมีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉาย เช่น 007 CASINO ROYALE ซึ่งจะเข้าฉายในวันพรุ่งนี้ (16 พ.ย.) ERAGON ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไตรภาค รวมทั้งพระนเรศวร ซึ่งคาดว่าจะเข้าฉายในเดือนธันวาคมนี้
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปี 2550 คาดว่าจะเป็นปีทอง หากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศนิ่ง โดยอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15-20 จะมีภาพยนตร์เข้าฉายทั้งหมด 250-300 เรื่อง แบ่งเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 150-200 เรื่อง และภาพยนตร์ไทย 50 เรื่อง โดยคาดว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ด และเป็นหนังภาคต่อ เช่น Spider Man 3, Harry Potter and the Order of The Phoenix เป็นต้น จะทำรายได้มากขึ้น เช่นเดียวกับภาพยนตร์ไทย อย่างเช่น บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 องค์บาก 2 ขณะเดียวกัน ก็จะมีโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอีก 60-70 โรง ในปี 2550 โดยเป็นโรงภาพยนตร์ของเครือเมเจอร์ ประมาณ 40 โรง และโบว์ลิ่งอีก 80–100 เลน ซึ่งเมเจอร์ใช้เงินลงทุน 600-800 ล้านบาท และในเดือนธันวาคม 2549 ทางเมเจอร์จะเปิดโรงภาพยนตร์ “เอสพานาร์ด ซีนีเพล็กซ์” ย่านรัชดาภิเษก รวมทั้งจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายตั๋วชมภาพยนตร์ให้ถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต
นายวิชา กล่าวถึงผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2549 ว่า บริษัทมีรายได้ 3,819 ล้านบาท กำไรสุทธิ 578 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.78 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้รวม 1,314 ล้านบาท กำไรสุทธิ 189 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.25 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทคาดว่าในปี 2550 รายได้ของเครือเมเจอร์จะเติบโตประมาณร้อยละ 30 ซึ่งมาจากทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจที่เข้าไปร่วมลงทุน