รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเตือนแนะบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. พิจารณากรณีสายการบินต้นทุนต่ำ หรือโลว์คอสต์ต้องการย้ายฐานปฏิบัติการการบินกลับไปท่าอากาศยานกรุงเทพให้ดี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพราะไทยเพิ่งย้ายท่าอากาศยานนานาชาติไปเมื่อ 34 วันที่ผ่านมา
กรณีความต้องการย้ายฐานปฏิบัติการการบินของสายการบินโลว์คอสต์จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กลับมาใช้ท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยสายการบินส่วนใหญ่อ้างว่าต้นทุนประกอบการที่สนามบินสุวรรณภูมิสูงมาก และอาจกระทบต่อค่าโดยการและการให้บริการ โดยการประชุมระหว่าง ทอท. และสายการบินโลว์คอสต์จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (2 พ.ย.) นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การจะย้ายฐานปฏิบัติการการบินของสายการบินโลว์คอสต์กลับมาใช้ท่าอากาศยานกรุงเทพ จำเป็นต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและผลกระทบในหลายด้าน ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เพราะไทยเพิ่งจะทำการย้ายท่าอากาศยานนานาชาติไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อ 34 วันที่ผ่านมาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องรับฟังเหตุผลของผู้ประกอบการสายการบินทั้งในและต่างประเทศด้วย
สำหรับกรณีการพิจารณาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม บอกว่า ได้มีการหารือกับทางกระทรวงการคลังแล้ว โดยพิจารณาเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งหมด 7 สาย เพื่อดูความเหมาะสมทั้งด้านความพร้อมการก่อสร้าง งบประมาณ การลงทุน และกฎระเบียบทางราชการ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปว่าจะสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางใดบ้างในอีก 2 สัปดาห์ โดยการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเดินหน้าต่อ เพราะเป็นโครงการที่สำคัญต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจของไทย และถูกจับตามอง ส่วนการหาเงินงบประมาณการก่อสร้างนั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ที่จะต้องรับผิดชอบ
นายสรรเสริญ ยังกล่าวถึงนโยบายในการควบคุมค่าโดยสารรถสาธารณะ ซึ่งก่อนหน้าที่อัตราค่าโดยสารได้ปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมันที่พุ่งสูง แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแล้ว ค่าโดยสารกลับไม่มีการลดลง โดยเห็นว่าค่าโดยสารรถสาธารณะในขณะนี้ ทั้งในส่วนของรถ ขสมก. รถร่วม ขสมก. รถ บขส. และรถร่วม บขส. ควรจะมีการปรับลดลงมาให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำมันแล้ว แต่ก็ต้องเรียกผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือกันอีกครั้ง
“ยอมรับว่า ระยะเวลาในการทำงานเพียง 1 ปี รัฐบาลอาจไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก และอย่าคาดหวังกับผลงานของรัฐมนตรีในกระทรวงคมนาคมมากเกินไป เพราะการเข้ามารับหน้าที่ในครั้งนี้เป็นการเข้ามาวางกลไกกำกับดูแลการขนส่งให้ดีขึ้น และเป็นระบบมากขึ้นเท่านั้น โดยการแบ่งงานระหว่างรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการนั้น ก็ไม่ได้ตัดขาดกัน แต่จะเป็นการทำงานที่ประสานงานกันตลอดเวลา โดยเน้นการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และคำนึงถึงคนหมู่มากเป็นหลัก โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร เพื่อวางรากฐานการขนส่งที่ยั่งยืน” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าว
กรณีความต้องการย้ายฐานปฏิบัติการการบินของสายการบินโลว์คอสต์จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กลับมาใช้ท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยสายการบินส่วนใหญ่อ้างว่าต้นทุนประกอบการที่สนามบินสุวรรณภูมิสูงมาก และอาจกระทบต่อค่าโดยการและการให้บริการ โดยการประชุมระหว่าง ทอท. และสายการบินโลว์คอสต์จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (2 พ.ย.) นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การจะย้ายฐานปฏิบัติการการบินของสายการบินโลว์คอสต์กลับมาใช้ท่าอากาศยานกรุงเทพ จำเป็นต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและผลกระทบในหลายด้าน ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เพราะไทยเพิ่งจะทำการย้ายท่าอากาศยานนานาชาติไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อ 34 วันที่ผ่านมาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องรับฟังเหตุผลของผู้ประกอบการสายการบินทั้งในและต่างประเทศด้วย
สำหรับกรณีการพิจารณาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม บอกว่า ได้มีการหารือกับทางกระทรวงการคลังแล้ว โดยพิจารณาเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งหมด 7 สาย เพื่อดูความเหมาะสมทั้งด้านความพร้อมการก่อสร้าง งบประมาณ การลงทุน และกฎระเบียบทางราชการ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปว่าจะสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางใดบ้างในอีก 2 สัปดาห์ โดยการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเดินหน้าต่อ เพราะเป็นโครงการที่สำคัญต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจของไทย และถูกจับตามอง ส่วนการหาเงินงบประมาณการก่อสร้างนั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ที่จะต้องรับผิดชอบ
นายสรรเสริญ ยังกล่าวถึงนโยบายในการควบคุมค่าโดยสารรถสาธารณะ ซึ่งก่อนหน้าที่อัตราค่าโดยสารได้ปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมันที่พุ่งสูง แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแล้ว ค่าโดยสารกลับไม่มีการลดลง โดยเห็นว่าค่าโดยสารรถสาธารณะในขณะนี้ ทั้งในส่วนของรถ ขสมก. รถร่วม ขสมก. รถ บขส. และรถร่วม บขส. ควรจะมีการปรับลดลงมาให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำมันแล้ว แต่ก็ต้องเรียกผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือกันอีกครั้ง
“ยอมรับว่า ระยะเวลาในการทำงานเพียง 1 ปี รัฐบาลอาจไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก และอย่าคาดหวังกับผลงานของรัฐมนตรีในกระทรวงคมนาคมมากเกินไป เพราะการเข้ามารับหน้าที่ในครั้งนี้เป็นการเข้ามาวางกลไกกำกับดูแลการขนส่งให้ดีขึ้น และเป็นระบบมากขึ้นเท่านั้น โดยการแบ่งงานระหว่างรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการนั้น ก็ไม่ได้ตัดขาดกัน แต่จะเป็นการทำงานที่ประสานงานกันตลอดเวลา โดยเน้นการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และคำนึงถึงคนหมู่มากเป็นหลัก โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร เพื่อวางรากฐานการขนส่งที่ยั่งยืน” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าว