สยามร่วมมิตรยึดกลยุทธ์สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง ล่าสุดสร้างตลาดสแน็คเพื่อสุขภาพ ด้วยการทุ่มงบตลาด 50-80 ล้านบาทส่งน้องใหม่ “เคนโด้” ข้าวอบกรอบผสมสาหร่ายสไตล์ญี่ปุ่น ชูจุดเด่นเป็นสแน็คพรีเมี่ยมสไตล์ญี่ปุ่น อิงกระแสเจ-เทรนด์เจาะกลุ่มวัยรุ่น13-18 ปี ตั้งเป้ายอดขายปีแรกกว่า 300 ล้านบาทและมีแชร์2% จากตลาดรวมสแน็ค1.3 หมื่นล้านบาท คาดภายใน 3 ปียอดขาย 1 พันล้านบาท เผยกรณีภาครัฐเล็งคุมเข้มสแน็คเห็นด้วยแต่ต้องทำทุกกลุ่มให้เท่าเทียมกัน
นายสุรเดช นภาพฤกษ์ชาติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัทสยามร่วมมิตร จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยว อาทิ ข้าวเกรียบกุ้งฮานามิ, รวยเพื่อน,สแน็คแจ๊คและคอร์นพัฟฟ์ฯลฯ เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินงานของสินค้าในกลุ่มขนมขบเคี้ยวหรือสแน็คของบริษัทฯต่อจากนี้ไปจะเน้นกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างทางการตลาด(Differentiate Marketing) ทั้งในกลุ่มขนมขบเคี้ยวแบบธรรมดา(Normal Snack) และขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ (Healthy Snack) ไม่ว่าจะเป็นการสร้างจุดแตกต่างเหนือคู่แข่ง, การสร้างเซกเมนต์ใหม่ให้กับตลาดสแน็ค เป็นต้น
ล่าสุดบริษัทฯได้เล็งเห็นช่องว่างตลาดสแน็คเพื่อสุขภาพซึ่งยังไม่มีผู้เล่นรายใดทำตลาดอย่างจริงจัง จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ใหม่ “เคนโด้ (KENDO)” ข้าวอบกรอบผสมสาหร่าย 2 รสชาติ ได้แก่ รสซอสโชยุและรสเทริยากิ มีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 17 กรัม5 บาทและ75 กรัม 20 บาท ซึ่งเบื้องต้นแนวทางการทำตลาดจะเน้นเรื่องการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการเน้นไปที่สปอร์ต มาร์เก็ตติ้งในการทำตลาด
“นอกจากนี้การเปิดตัวเคนโด้นี้เพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์หลักที่ออกมาในช่วงที่บริษัทฯครบรอบ30ปีที่ต้องการเน้นทำตลาดสินค้าหลายแบรนด์มากขึ้นและสร้างสแน็คแนวใหม่คือเฮลท์ตี้ สแน็ค ซึ่งเราจัดให้เคนโด้เป็นได้ทั้งไรซ์ สแน็คและเป็นเฮลท์ตี้ สแน็คตัวแรกของบริษัทฯ และคาดหวังว่าเคนโดจะสามารถสร้างยอดรายได้หรือเป็นสินค้าหลัก(Product Flagship)ของสยามร่วมมิตรต่อไปในอนาคตได้เหมือนอย่างฮานามิ”
สินค้าเคนโด้มีกลุ่มเป้าหมายหลักอยู่ที่กลุ่มวัยรุ่นอายุ13-18ปีและกลุ่มเป้าหมายรองได้แก่ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยและคนเริ่มทำงาน ส่วนจุดเด่นของสินค้า ได้แก่ ชื่อแบรนด์และบรรจุภัณฑ์เน้นสไตล์ญี่ปุ่นหรือเจ-เทรนด์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่น ขณะที่ส่วนผสมหลักของเคนโด คือ ข้าวและสาหร่ายญี่ปุ่นมีคุณค่าทางโภชนาการและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งสอดรับกับกระแสรักสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
สำหรับงบการทำตลาดสินค้าใหม่ในปีแรกนี้บริษัทฯตั้งไว้ที่ 50-80 ล้านบาท โดยจะเน้นทำตลาดทั้งอโบพ เดอะ ไลน์ เช่น การทำภาพยนตร์โฆษณาเป็นซีรีย์ 5 ชุด เริ่มออกอากาศต้นเดือนพ.ย.นี้ ส่วนด้านบีโลว์ เดอะ ไลน์ เช่น การจัดกิจกรรมเปิดตัวเคนโด้ในวันลอยกระทงหรือวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ย.นี้และการแจกสินค้าตัวอย่าง 1 ล้านชิ้น เป้นต้น
ด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้าเคนโด้ แบ่งออกเป็น 2 ช่องทาง คือ โมเดิร์นเทรดคิดเป็นสัดส่วน60% และช่องทางเทรดดิชั่นแนลเทรด เช่น ร้านค้ายี่ปั๊วและร้านค้าปลีกต่างๆอยู่ที่40% ทั้งนี้คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนนี้บริษัทฯจะสามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
สำหรับยอดขายเคนโด้ในปีแรกนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทและมีส่วนแบ่งทางการตลาด2% ของตลาดรวมสแน็คที่มีมูลค่า 1.2-1.3 หมื่นล้านบาทและมีอัตราการโตปีนี้ที่10% จากนั้นภายใน 3 ปีคาดว่าเคนโด้จะสร้างยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาทและมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่7-8% ของตลาดสแน็ครวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนภาพรวมของบริษัทฯในปี2549นี้คาดว่าจะสามารถปิดยอดรายได้ที่ 1.5 พันล้านบาทและมีการเติบโตขึ้น 15-20% จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 1.3 พันล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาพบว่ามีอัตราการเติบโต10%และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คาดว่ายอดจะเติบโตขึ้นถึง 40%
นายสุรเดช กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่ภาครัฐเตรียมเข้มงวดกับสินค้าขนมขบเคี้ยวหรือสแน็คมากขึ้นตรงนี้ก็เห็นด้วยกับวิธีคิด แต่หากทำต้องทำให้หมดทุกกลุ่ม เพื่อที่จะไม่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเรียกผู้ประกอบการเข้าไปเจรจาแต่อย่างใด แต่ในส่วนของบริษัทฯจะคงยึดแนวทางการตลาดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพเป็นหลัก
นายสุรเดช นภาพฤกษ์ชาติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัทสยามร่วมมิตร จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยว อาทิ ข้าวเกรียบกุ้งฮานามิ, รวยเพื่อน,สแน็คแจ๊คและคอร์นพัฟฟ์ฯลฯ เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินงานของสินค้าในกลุ่มขนมขบเคี้ยวหรือสแน็คของบริษัทฯต่อจากนี้ไปจะเน้นกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างทางการตลาด(Differentiate Marketing) ทั้งในกลุ่มขนมขบเคี้ยวแบบธรรมดา(Normal Snack) และขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ (Healthy Snack) ไม่ว่าจะเป็นการสร้างจุดแตกต่างเหนือคู่แข่ง, การสร้างเซกเมนต์ใหม่ให้กับตลาดสแน็ค เป็นต้น
ล่าสุดบริษัทฯได้เล็งเห็นช่องว่างตลาดสแน็คเพื่อสุขภาพซึ่งยังไม่มีผู้เล่นรายใดทำตลาดอย่างจริงจัง จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ใหม่ “เคนโด้ (KENDO)” ข้าวอบกรอบผสมสาหร่าย 2 รสชาติ ได้แก่ รสซอสโชยุและรสเทริยากิ มีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 17 กรัม5 บาทและ75 กรัม 20 บาท ซึ่งเบื้องต้นแนวทางการทำตลาดจะเน้นเรื่องการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการเน้นไปที่สปอร์ต มาร์เก็ตติ้งในการทำตลาด
“นอกจากนี้การเปิดตัวเคนโด้นี้เพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์หลักที่ออกมาในช่วงที่บริษัทฯครบรอบ30ปีที่ต้องการเน้นทำตลาดสินค้าหลายแบรนด์มากขึ้นและสร้างสแน็คแนวใหม่คือเฮลท์ตี้ สแน็ค ซึ่งเราจัดให้เคนโด้เป็นได้ทั้งไรซ์ สแน็คและเป็นเฮลท์ตี้ สแน็คตัวแรกของบริษัทฯ และคาดหวังว่าเคนโดจะสามารถสร้างยอดรายได้หรือเป็นสินค้าหลัก(Product Flagship)ของสยามร่วมมิตรต่อไปในอนาคตได้เหมือนอย่างฮานามิ”
สินค้าเคนโด้มีกลุ่มเป้าหมายหลักอยู่ที่กลุ่มวัยรุ่นอายุ13-18ปีและกลุ่มเป้าหมายรองได้แก่ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยและคนเริ่มทำงาน ส่วนจุดเด่นของสินค้า ได้แก่ ชื่อแบรนด์และบรรจุภัณฑ์เน้นสไตล์ญี่ปุ่นหรือเจ-เทรนด์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่น ขณะที่ส่วนผสมหลักของเคนโด คือ ข้าวและสาหร่ายญี่ปุ่นมีคุณค่าทางโภชนาการและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งสอดรับกับกระแสรักสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
สำหรับงบการทำตลาดสินค้าใหม่ในปีแรกนี้บริษัทฯตั้งไว้ที่ 50-80 ล้านบาท โดยจะเน้นทำตลาดทั้งอโบพ เดอะ ไลน์ เช่น การทำภาพยนตร์โฆษณาเป็นซีรีย์ 5 ชุด เริ่มออกอากาศต้นเดือนพ.ย.นี้ ส่วนด้านบีโลว์ เดอะ ไลน์ เช่น การจัดกิจกรรมเปิดตัวเคนโด้ในวันลอยกระทงหรือวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ย.นี้และการแจกสินค้าตัวอย่าง 1 ล้านชิ้น เป้นต้น
ด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้าเคนโด้ แบ่งออกเป็น 2 ช่องทาง คือ โมเดิร์นเทรดคิดเป็นสัดส่วน60% และช่องทางเทรดดิชั่นแนลเทรด เช่น ร้านค้ายี่ปั๊วและร้านค้าปลีกต่างๆอยู่ที่40% ทั้งนี้คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนนี้บริษัทฯจะสามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
สำหรับยอดขายเคนโด้ในปีแรกนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทและมีส่วนแบ่งทางการตลาด2% ของตลาดรวมสแน็คที่มีมูลค่า 1.2-1.3 หมื่นล้านบาทและมีอัตราการโตปีนี้ที่10% จากนั้นภายใน 3 ปีคาดว่าเคนโด้จะสร้างยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาทและมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่7-8% ของตลาดสแน็ครวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนภาพรวมของบริษัทฯในปี2549นี้คาดว่าจะสามารถปิดยอดรายได้ที่ 1.5 พันล้านบาทและมีการเติบโตขึ้น 15-20% จากปีที่แล้วที่มียอดขาย 1.3 พันล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาพบว่ามีอัตราการเติบโต10%และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คาดว่ายอดจะเติบโตขึ้นถึง 40%
นายสุรเดช กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่ภาครัฐเตรียมเข้มงวดกับสินค้าขนมขบเคี้ยวหรือสแน็คมากขึ้นตรงนี้ก็เห็นด้วยกับวิธีคิด แต่หากทำต้องทำให้หมดทุกกลุ่ม เพื่อที่จะไม่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเรียกผู้ประกอบการเข้าไปเจรจาแต่อย่างใด แต่ในส่วนของบริษัทฯจะคงยึดแนวทางการตลาดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพเป็นหลัก