ไมเนอร์เหนื่อยเหตุเศรษฐกิจชะลอตัว ลูกค้าหยุดการจับจ่าย หั่นงบการตลาดใช้เพียง2.5% จากเดิมที่วางไว้ 5 % ของรายได้ โหมทุ่มกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากเดิม 50 % พร้อมยึดนโยบายเฟสเอ้าท์แบรนด์ที่สร้างรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาทออกไป ประเดิม"แรมเพจ" เป็นแบรนด์แรก หวังประคองรายได้ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้กว่า 1,500 ล้านบาท หรือมีการเติบโตที่ 10 % เผยมองการลงทุนปีหน้า เตรียมเปิดตัวเสื้อผ้าแบรนด์นอกอีกอย่างน้อย 2 แบรนด์ พร้อมชูนโยบายสร้างความรู้สึกในการซื้อหาสินค้าได้ง่ายขึ้นให้เกิดแก่ลูกค้าเป็นสำคัญ
นางสาวจันทร์ทิพย์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา บริษัท เอสมิโด แฟชั่นส์ จำกัด บริษัทในเครือไมเนอร์ กรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเสื้อผ้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศ เช่น เอสปรี และทิมเบอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ทางบริษัทฯมุ่งทำกิจกรรมทางการตลาดมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 50 % ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ที่มีผลต่อกำลังซื้อที่ชะลอการใช้จ่าย อีกทั้งสินค้าที่บริษัทฯจำหน่ายนั้น ก็ไม่ใช่สินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันทุกวัน และมีราคาที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อนั้นเอง
"เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ต้องยอมรับว่าสินค้าแบรนด์เนมโดยเฉพาะเสื้อผ้าแฟชั่นนั้น ได้รับผลกระทบอย่างมาก ทำให้การทำตลาดในปีนี้ จึงค่อนข้างเหนื่อยมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทฯจะเน้นเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นหลัก โดยมีอัตราความถี่ในการจัดเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง50 % กระตุ้นให้เกิดการซื้อ จากเดิมที่ลูกค้าชะลอการซื้อ"
สำหรับงบการตลาดตลอดทั้งปีนี้ใช้ไปเพียง 2.5 % ของรายได้ จากเดิมที่วางไว้ 5 % ของรายได้ในปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10 % ซึ่งถือเป็นการเติบโตไปตามทิศทางเดียวกันกับตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นอินเตอร์แบรนด์มูลค่า 6,000-7,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่ 10 % เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯมีนโยบายบริหารแบรนด์สินค้าต่างๆไว้ว่า หากแบรนด์ใดที่มีรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาทต่อปี จะต้องมีการเฟสเอาท์ออกไป โดยในปีนี้มีเพียง 1 แบรนด์เท่านั้นที่ถูกเฟสเอาท์ออกไป คือ แรมเพจ (RAMPAGE) เป็นสินค้าสำหรับผู้หญิง นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา
นางสาวจันทร์ทิพย์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้านั้น บริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์การสร้างความรู้สึกให้ลูกค้ารู้สึกว่า สินค้าของทางบริษัทฯนั้น หาซื้อได้ง่าย และหาซื้อได้ตลอดเวลา และราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงจนเกินไป นอกจากนี้บริษัทฯจะมีการนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่อีกอย่างน้อย 2 แบรนด์ ในช่วงไตรมาส 3 โดยจะเป็นการนำเข้าจากแถบยุโรปและเอเชีย เป็นเสื้อลักษณะยูนิเซ็กซ์ พร้อมกับนำเข้าเครื่องสำอาง คอสเมติกส์ อีก 2-3 แบรนด์ จากประเทศในแถบยุโรป หรือออสเตรเลีย ในช่วงไตรมาส 2 อีกด้วย แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยแบรนด์ที่จะนำเข้ามาได้
"ในปีหน้านั้นบริษัทฯยังคงใช้นโยบายเดิม โดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ที่นำเข้า ปีแรกของการทำตลาด ถ้ามีผลประกอบการไม่ถึง 100 ล้านบาท ก็จะถูกเฟสเอาท์ออกไปเช่นเดียวกัน"
อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตที่ 10 % คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท มาจากแบรนด์เนมที่บริหารอยู่ 6 แบรนด์ คือ เอสปรี 800 ล้านบาท, บอสซินี่ 300 ล้านบาท, ทิมเบอร์แลนด์ 100 ล้านบาท, ทูมี 50 ล้านบาท ที่เหลือมาจากแบรนด์อื่นๆ
นางสาวจันทร์ทิพย์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา บริษัท เอสมิโด แฟชั่นส์ จำกัด บริษัทในเครือไมเนอร์ กรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเสื้อผ้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศ เช่น เอสปรี และทิมเบอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ทางบริษัทฯมุ่งทำกิจกรรมทางการตลาดมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 50 % ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ที่มีผลต่อกำลังซื้อที่ชะลอการใช้จ่าย อีกทั้งสินค้าที่บริษัทฯจำหน่ายนั้น ก็ไม่ใช่สินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันทุกวัน และมีราคาที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อนั้นเอง
"เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ต้องยอมรับว่าสินค้าแบรนด์เนมโดยเฉพาะเสื้อผ้าแฟชั่นนั้น ได้รับผลกระทบอย่างมาก ทำให้การทำตลาดในปีนี้ จึงค่อนข้างเหนื่อยมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทฯจะเน้นเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นหลัก โดยมีอัตราความถี่ในการจัดเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง50 % กระตุ้นให้เกิดการซื้อ จากเดิมที่ลูกค้าชะลอการซื้อ"
สำหรับงบการตลาดตลอดทั้งปีนี้ใช้ไปเพียง 2.5 % ของรายได้ จากเดิมที่วางไว้ 5 % ของรายได้ในปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10 % ซึ่งถือเป็นการเติบโตไปตามทิศทางเดียวกันกับตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นอินเตอร์แบรนด์มูลค่า 6,000-7,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่ 10 % เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯมีนโยบายบริหารแบรนด์สินค้าต่างๆไว้ว่า หากแบรนด์ใดที่มีรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาทต่อปี จะต้องมีการเฟสเอาท์ออกไป โดยในปีนี้มีเพียง 1 แบรนด์เท่านั้นที่ถูกเฟสเอาท์ออกไป คือ แรมเพจ (RAMPAGE) เป็นสินค้าสำหรับผู้หญิง นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา
นางสาวจันทร์ทิพย์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้านั้น บริษัทฯจะเน้นกลยุทธ์การสร้างความรู้สึกให้ลูกค้ารู้สึกว่า สินค้าของทางบริษัทฯนั้น หาซื้อได้ง่าย และหาซื้อได้ตลอดเวลา และราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงจนเกินไป นอกจากนี้บริษัทฯจะมีการนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่อีกอย่างน้อย 2 แบรนด์ ในช่วงไตรมาส 3 โดยจะเป็นการนำเข้าจากแถบยุโรปและเอเชีย เป็นเสื้อลักษณะยูนิเซ็กซ์ พร้อมกับนำเข้าเครื่องสำอาง คอสเมติกส์ อีก 2-3 แบรนด์ จากประเทศในแถบยุโรป หรือออสเตรเลีย ในช่วงไตรมาส 2 อีกด้วย แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยแบรนด์ที่จะนำเข้ามาได้
"ในปีหน้านั้นบริษัทฯยังคงใช้นโยบายเดิม โดยเฉพาะแบรนด์ใหม่ที่นำเข้า ปีแรกของการทำตลาด ถ้ามีผลประกอบการไม่ถึง 100 ล้านบาท ก็จะถูกเฟสเอาท์ออกไปเช่นเดียวกัน"
อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตที่ 10 % คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท มาจากแบรนด์เนมที่บริหารอยู่ 6 แบรนด์ คือ เอสปรี 800 ล้านบาท, บอสซินี่ 300 ล้านบาท, ทิมเบอร์แลนด์ 100 ล้านบาท, ทูมี 50 ล้านบาท ที่เหลือมาจากแบรนด์อื่นๆ