หอแว่นกรุ๊ปเลี่ยงปัญหาค้าปลีก เล็งเปิดร้านแว่น 7 สาขา ในอาคารพาณิชย์ปีหน้า พร้อมขยายตลาดต่างประเทศต่อ เชื่อดันยอดรายได้ยังโต
นายภาคี ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท หอแว่นกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ออกระเบียบบังคับให้ร้านค้าปลีกยุติการขยายสาขาเพิ่มนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการขยายสาขาของบริษัทฯ ดังนั้นบริษัทฯจึงได้มองหาช่องทางในการขยายสาขาใหม่ในอาคารพาณิชย์บางแห่ง และเป็นอาคารสำนักงาน 1 แห่ง โดยการลงทุนขยายสาขาในอาคารพาณิชย์ยังมีความเสี่ยงไม่สูง ซึ่งต้องมองในแหล่งชุมชนธุรกิจที่คาดว่าจะดำเนินการได้ ในขณะที่การเปิดร้านแว่นทั่วไปมีความเสี่ยงมากกว่า โดยปัจจุบันมีสาขาในอาคารพาณิชย์ 1 แห่งที่ย่านสีลม ในขณะที่หอแว่นรูปแบบเดิมก่อนที่จะขยายสู่ห้างสรรพสินค้าและอยู่ในอาคารพาณิชย์จำนวน 4 สาขา
สำหรับภาพรวมของตลาดแว่นตาในปี 2549 มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 15 หรือมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 5,000 ล้านบาท จากปี 2548 มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งตลาดแว่นตามีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับสภาวะเศรษฐกิจ การขยายตัวของเมืองและภาวะการศึกษาที่สูงขึ้น ทั้งนี้การที่คนมีการศึกษาที่สูงขึ้นจึงทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์และอ่านหนังสือมากขึ้นจึงส่งผลต่อสายตาในระยะยาว รวมทั้งตลาดยังมีช่องว่างอยู่พอสมควร
"แม้ว่าวิกฤติน้ำมันแพง ปัญหาการเมือง ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทเติบโตประมาณร้อยละ 15-20 แต่เดือนกันยายนยอดขายเราตกไปประมาณร้อยละ 10 ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาดโดยรวม แต่คาดว่าภายในสิ้นปี บริษัทฯจะเติบโตประมาณร้อยละ 15-20 โดยมีปัจจัยมาจากร้านค้าเดิมที่มียอดขายสูงขึ้น และรวมทั้งการเปิดสาขาใหม่ซึ่งในปีนี้หอแว่นเปิดสาขาใหม่ไปแล้วประมาณ 5 -6 สาขา"นายภาคีกล่าว
บริษัทฯคาดว่าภายในสิ้นปี 2549 หอแว่นจะสามารถขยายสาขาได้เพิ่มอีกประมาณ 3-4 สาขา แบ่งเป็นร้านหอแว่นและร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่น 2 สาขา โดยร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่นจะเตรียมเปิดสาขาเซ็นทรัลเวิร์ล เปิดประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ และที่ดิเอสพลานาด รัชดา จะเปิดในวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ซึ่งปัจจุบันมีร้านหอแว่นและเบ็ตเตอร์วิชั่นรวม 93 สาขาแบ่งเป็นร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่น 6 สาขา รวมเซ็นทรัลเวิร์ลและดิเอสพลานาด รัชดา และภายในสิ้นปีนี้หอแว่นจะมีสาขาเพิ่มเป็น 96-97 สาขา
"ในส่วนของร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่น มีการสร้างการบริการที่แตกต่างจากร้านแว่นทั่วไป ด้วยการลงทุนด้านพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยสูงกว่าร้านแว่นปกติ 2 เท่า มีการปรับความหนาบางของเลนส์ให้บางให้มีความสอดคล้องกับราคาของแว่น และแว่นตาที่สามารถเปลี่ยนสีเลนส์ได้เมื่ออยู่กลางแดด นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือ สำหรับเลนส์โปรเกรสสีพ สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเลนส์ดังกล่าวช่วยให้มองเห็นสิ่งของในระยะใกล้และไกลได้ทันที เหมือนกับสายตาของวัยรุ่น โดยเลนส์หนึ่งคู่มีราคาตั้งแต่ 3,000-9,000 บาท"นายภาคีกล่าว
ปัจจุบันบริษัทฯสาขาที่อยู่ต่างประเทศเป็นจำนวน 22 สาขา ซึ่งแบ่งเป็นประเทศสิงคโปร์ 9 สาขา มาเลเซีย 13 สาขา และในปี 2550 บริษัท มีแผนที่จะขยายสาขาในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 1 สาขา คือประเทศสิงคโปร์ โดยใช้ชื่อว่า วีโว่ (Vivo) ซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2550 บริษัทฯมีแผนขยายสาขาเพิ่มประมาณ 6-7 สาขา ซึ่งจะเน้นในรูปแบบอาคารพาณิชย์มากขึ้น โดยใช้งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท ทั้งนี้ในการขยายสาขาเพื่อเป็นการสอดรับกับแนวโน้มกับความต้องการของตลาด ซึ่งอัตราการเติบโตของตลาดรวมเติบโตประมาณร้อยละ 15 %ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่า หอแว่นจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 7 – 8%
นายภาคี ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท หอแว่นกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ออกระเบียบบังคับให้ร้านค้าปลีกยุติการขยายสาขาเพิ่มนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการขยายสาขาของบริษัทฯ ดังนั้นบริษัทฯจึงได้มองหาช่องทางในการขยายสาขาใหม่ในอาคารพาณิชย์บางแห่ง และเป็นอาคารสำนักงาน 1 แห่ง โดยการลงทุนขยายสาขาในอาคารพาณิชย์ยังมีความเสี่ยงไม่สูง ซึ่งต้องมองในแหล่งชุมชนธุรกิจที่คาดว่าจะดำเนินการได้ ในขณะที่การเปิดร้านแว่นทั่วไปมีความเสี่ยงมากกว่า โดยปัจจุบันมีสาขาในอาคารพาณิชย์ 1 แห่งที่ย่านสีลม ในขณะที่หอแว่นรูปแบบเดิมก่อนที่จะขยายสู่ห้างสรรพสินค้าและอยู่ในอาคารพาณิชย์จำนวน 4 สาขา
สำหรับภาพรวมของตลาดแว่นตาในปี 2549 มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 15 หรือมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 5,000 ล้านบาท จากปี 2548 มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งตลาดแว่นตามีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับสภาวะเศรษฐกิจ การขยายตัวของเมืองและภาวะการศึกษาที่สูงขึ้น ทั้งนี้การที่คนมีการศึกษาที่สูงขึ้นจึงทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์และอ่านหนังสือมากขึ้นจึงส่งผลต่อสายตาในระยะยาว รวมทั้งตลาดยังมีช่องว่างอยู่พอสมควร
"แม้ว่าวิกฤติน้ำมันแพง ปัญหาการเมือง ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทเติบโตประมาณร้อยละ 15-20 แต่เดือนกันยายนยอดขายเราตกไปประมาณร้อยละ 10 ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาดโดยรวม แต่คาดว่าภายในสิ้นปี บริษัทฯจะเติบโตประมาณร้อยละ 15-20 โดยมีปัจจัยมาจากร้านค้าเดิมที่มียอดขายสูงขึ้น และรวมทั้งการเปิดสาขาใหม่ซึ่งในปีนี้หอแว่นเปิดสาขาใหม่ไปแล้วประมาณ 5 -6 สาขา"นายภาคีกล่าว
บริษัทฯคาดว่าภายในสิ้นปี 2549 หอแว่นจะสามารถขยายสาขาได้เพิ่มอีกประมาณ 3-4 สาขา แบ่งเป็นร้านหอแว่นและร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่น 2 สาขา โดยร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่นจะเตรียมเปิดสาขาเซ็นทรัลเวิร์ล เปิดประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ และที่ดิเอสพลานาด รัชดา จะเปิดในวันที่ 1 ธันวาคม 2549 ซึ่งปัจจุบันมีร้านหอแว่นและเบ็ตเตอร์วิชั่นรวม 93 สาขาแบ่งเป็นร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่น 6 สาขา รวมเซ็นทรัลเวิร์ลและดิเอสพลานาด รัชดา และภายในสิ้นปีนี้หอแว่นจะมีสาขาเพิ่มเป็น 96-97 สาขา
"ในส่วนของร้านเบ็ตเตอร์ วิชั่น มีการสร้างการบริการที่แตกต่างจากร้านแว่นทั่วไป ด้วยการลงทุนด้านพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยสูงกว่าร้านแว่นปกติ 2 เท่า มีการปรับความหนาบางของเลนส์ให้บางให้มีความสอดคล้องกับราคาของแว่น และแว่นตาที่สามารถเปลี่ยนสีเลนส์ได้เมื่ออยู่กลางแดด นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือ สำหรับเลนส์โปรเกรสสีพ สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเลนส์ดังกล่าวช่วยให้มองเห็นสิ่งของในระยะใกล้และไกลได้ทันที เหมือนกับสายตาของวัยรุ่น โดยเลนส์หนึ่งคู่มีราคาตั้งแต่ 3,000-9,000 บาท"นายภาคีกล่าว
ปัจจุบันบริษัทฯสาขาที่อยู่ต่างประเทศเป็นจำนวน 22 สาขา ซึ่งแบ่งเป็นประเทศสิงคโปร์ 9 สาขา มาเลเซีย 13 สาขา และในปี 2550 บริษัท มีแผนที่จะขยายสาขาในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 1 สาขา คือประเทศสิงคโปร์ โดยใช้ชื่อว่า วีโว่ (Vivo) ซึ่งใช้งบลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2550 บริษัทฯมีแผนขยายสาขาเพิ่มประมาณ 6-7 สาขา ซึ่งจะเน้นในรูปแบบอาคารพาณิชย์มากขึ้น โดยใช้งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท ทั้งนี้ในการขยายสาขาเพื่อเป็นการสอดรับกับแนวโน้มกับความต้องการของตลาด ซึ่งอัตราการเติบโตของตลาดรวมเติบโตประมาณร้อยละ 15 %ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่า หอแว่นจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 7 – 8%