กรมธนารักษ์ปรับซีรีส์เหรียญกษาปณ์ใหม่หมดฉลองงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ด้าน สวค. แนะธนารักษ์ผลิตเหรียญ 2 บาท เป็น 2 สี เหมือนเหรียญ 10 บาท และควรเปลี่ยนวัตถุดิบการผลิต พร้อมหาเทคโนโลยีผลิตเหรียญเองเพื่อลดต้นทุนการผลิต ส่วนเหรียญเศษสตางค์แม้จะมีค่าน้อยแต่ก็ไม่ยกเลิก
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) เร่งศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ รายละเอียด และวัสดุในการจัดทำเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่นำออกใช้ในปัจจุบันใหม่เพื่อให้ทันสมัย ใช้ง่ายและประหยัดต้นทุนการผลิต โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงซีรีส์ของเหรียญกษาปณ์ใหม่ทั้งหมด เชื่อว่าจะสรุปรายละเอียดได้ในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากต้องการนำออกใช้ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปี 2550 นี้ ขณะเดียวกันกรมธนารักษ์อยู่ระหว่างออกแบบการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึก ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับรางวัลจากองค์การสหประชาชาติในโอกาสที่ทรงสิริราชสมบัติครบ 60 ปีด้วย
นายคนิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการ สวค. กล่าวว่า ได้ศึกษารูปแบบซีรีส์ใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยโครงสร้างและประเภทของเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนในปัจจุบันยังคงมีประเภทและขนาดเท่าเดิม คือประเภท 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ แต่จะเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุน เพราะในขณะนี้มีต้นทุนสูงมาก โดยเฉพาะเหรียญ 1 บาท ที่พบว่ามีต้นทุนการผลิตเหรียญละ 1.30 บาท ถ้าเปลี่ยนวัสดุจากโปรนิเกิลมาเป็นทองแดงแล้วเคลือบด้วยโปรนิเกิลแทน จะทำให้ต้นทุนราคาเหรียญบาทลดลงถึง 0.50 บาทต่อเหรียญ รวมทั้งอาจเปลี่ยนแปลงลวดลายของแต่ละเหรียญให้เกิดความสวยงามมากยิ่งขึ้นด้วย
ส่วนเหรียญอื่น ๆ ยังไม่พบว่ามีปัญหาในเรื่องของต้นทุนการผลิต แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวัสดุการผลิตเพื่อให้เหรียญมีความแตกต่าง โดยเฉพาะเหรียญ 2 บาท ที่รูปแบบการผลิตที่ออกมาใกล้เคียงกับเหรียญ 1 บาท มากเกินไป จึงทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเกิดการหยิบผิดพลาด ดังนั้น กรมธนารักษ์ควรจะเปลี่ยนวัสดุการผลิตเหรียญ 2 บาท เป็นเหรียญกษาปณ์ 2 สี เช่น เดียวกับเหรียญ 10 บาท ซึ่งจะทำให้โครงสร้างของเหรียญกษาปณ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
“ปัจจุบันเหรียญ 1 บาท 2 บาท และ 5 บาท จะมีสีเงิน ส่วนเหรียญ 10 บาท มี 2 สี ดังนั้น หากเปลี่ยนเหรียญ 2 บาท เป็นเหรียญ 2 สี ก็จะทำให้โครงสร้างเหรียญกษาปณ์สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อนำเหรียญทั้ง 4 ชนิดราคามาวางเรียงกันจะทำให้มีโครงสร้างเหรียญที่ครบถ้วนคือเหรียญ 1 บาท เป็นเหรียญเงิน เหรียญ 2 บาท เป็นเหรียญ 2 สี เหรียญ 5 บาท เป็นเหรียญเงิน และเหรียญ 10 บาท เป็นเหรียญ 2 สี” นายคนิศ กล่าว
นายคนิศ กล่าวว่า ต้นทุนในการผลิตเหรียญ 10 บาท นั้นค่อนข้างต่ำมาก ซึ่งสามารถนำมาชดเชยการผลิตเหรียญ 1 บาท ที่มีต้นทุนสูง ดังนั้น หากจะเปลี่ยนเหรียญ 2 บาท เป็นแบบ 2 สี ก็จะยิ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับกรมธนารักษ์มากยิ่งขึ้นด้วย ส่วนเหรียญ 10 สตางค์ 25 สตางค์ และ 50 สตางค์ นั้น ยังมีความจำเป็นที่ต้องผลิตหมุนเวียนนำมาใช้อยู่ในระบบเศรษฐกิจต่อไป โดยอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้สวยงามมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ โรงงานกษาปณ์จำเป็นต้องหันมาคิดริเริ่มที่จะผลิตเหรียญกษาปณ์เองแทนที่จะซื้อเหรียญตัวเปล่ามาจากต่างประเทศแล้วนำมาปั๊มหน้าเหรียญภายในโรงงาน เพราะเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีที่ไม่สูงเหมือนเทคโนโลยีอื่น ๆ หากโรงกษาปณ์ผลิตเหรียญตัวเปล่าเองจะทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้นและที่สำคัญยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ให้กับกรมธนารักษ์อีกทางหนึ่ง หากสามารถเจรจาตกลงกับต่างประเทศที่จะผลิตเหรียญกษาปณ์จำหน่ายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) เร่งศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ รายละเอียด และวัสดุในการจัดทำเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่นำออกใช้ในปัจจุบันใหม่เพื่อให้ทันสมัย ใช้ง่ายและประหยัดต้นทุนการผลิต โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงซีรีส์ของเหรียญกษาปณ์ใหม่ทั้งหมด เชื่อว่าจะสรุปรายละเอียดได้ในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากต้องการนำออกใช้ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปี 2550 นี้ ขณะเดียวกันกรมธนารักษ์อยู่ระหว่างออกแบบการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึก ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับรางวัลจากองค์การสหประชาชาติในโอกาสที่ทรงสิริราชสมบัติครบ 60 ปีด้วย
นายคนิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการ สวค. กล่าวว่า ได้ศึกษารูปแบบซีรีส์ใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยโครงสร้างและประเภทของเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนในปัจจุบันยังคงมีประเภทและขนาดเท่าเดิม คือประเภท 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ แต่จะเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุน เพราะในขณะนี้มีต้นทุนสูงมาก โดยเฉพาะเหรียญ 1 บาท ที่พบว่ามีต้นทุนการผลิตเหรียญละ 1.30 บาท ถ้าเปลี่ยนวัสดุจากโปรนิเกิลมาเป็นทองแดงแล้วเคลือบด้วยโปรนิเกิลแทน จะทำให้ต้นทุนราคาเหรียญบาทลดลงถึง 0.50 บาทต่อเหรียญ รวมทั้งอาจเปลี่ยนแปลงลวดลายของแต่ละเหรียญให้เกิดความสวยงามมากยิ่งขึ้นด้วย
ส่วนเหรียญอื่น ๆ ยังไม่พบว่ามีปัญหาในเรื่องของต้นทุนการผลิต แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวัสดุการผลิตเพื่อให้เหรียญมีความแตกต่าง โดยเฉพาะเหรียญ 2 บาท ที่รูปแบบการผลิตที่ออกมาใกล้เคียงกับเหรียญ 1 บาท มากเกินไป จึงทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเกิดการหยิบผิดพลาด ดังนั้น กรมธนารักษ์ควรจะเปลี่ยนวัสดุการผลิตเหรียญ 2 บาท เป็นเหรียญกษาปณ์ 2 สี เช่น เดียวกับเหรียญ 10 บาท ซึ่งจะทำให้โครงสร้างของเหรียญกษาปณ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
“ปัจจุบันเหรียญ 1 บาท 2 บาท และ 5 บาท จะมีสีเงิน ส่วนเหรียญ 10 บาท มี 2 สี ดังนั้น หากเปลี่ยนเหรียญ 2 บาท เป็นเหรียญ 2 สี ก็จะทำให้โครงสร้างเหรียญกษาปณ์สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อนำเหรียญทั้ง 4 ชนิดราคามาวางเรียงกันจะทำให้มีโครงสร้างเหรียญที่ครบถ้วนคือเหรียญ 1 บาท เป็นเหรียญเงิน เหรียญ 2 บาท เป็นเหรียญ 2 สี เหรียญ 5 บาท เป็นเหรียญเงิน และเหรียญ 10 บาท เป็นเหรียญ 2 สี” นายคนิศ กล่าว
นายคนิศ กล่าวว่า ต้นทุนในการผลิตเหรียญ 10 บาท นั้นค่อนข้างต่ำมาก ซึ่งสามารถนำมาชดเชยการผลิตเหรียญ 1 บาท ที่มีต้นทุนสูง ดังนั้น หากจะเปลี่ยนเหรียญ 2 บาท เป็นแบบ 2 สี ก็จะยิ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับกรมธนารักษ์มากยิ่งขึ้นด้วย ส่วนเหรียญ 10 สตางค์ 25 สตางค์ และ 50 สตางค์ นั้น ยังมีความจำเป็นที่ต้องผลิตหมุนเวียนนำมาใช้อยู่ในระบบเศรษฐกิจต่อไป โดยอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้สวยงามมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ โรงงานกษาปณ์จำเป็นต้องหันมาคิดริเริ่มที่จะผลิตเหรียญกษาปณ์เองแทนที่จะซื้อเหรียญตัวเปล่ามาจากต่างประเทศแล้วนำมาปั๊มหน้าเหรียญภายในโรงงาน เพราะเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีที่ไม่สูงเหมือนเทคโนโลยีอื่น ๆ หากโรงกษาปณ์ผลิตเหรียญตัวเปล่าเองจะทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้นและที่สำคัญยังช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ให้กับกรมธนารักษ์อีกทางหนึ่ง หากสามารถเจรจาตกลงกับต่างประเทศที่จะผลิตเหรียญกษาปณ์จำหน่ายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน