"หม่อมอุ๋ย"ระบุการยึดอำนาจของคปค. ส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนในอนาคต เชื่อรัฐบาลใหม่จะทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ โดยนักธุรกิจไม่ต้องเลือกข้างเหมือนในยุคที่ผ่านมา คาดเศรษฐกิจปี 50 จะเติบโตมากกว่าร้อยละ 5 ขณะที่นักลงทุนไทยเสนอรัฐบาลเดินหน้าแผนพัฒนาตลาดทุนฉบับที่ 2 แบบก้าวกระโดด
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดว่าจะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลชุดใหม่ กล่าวว่า หลังการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่งผลให้การเมืองมีความชัดเจน ไร้ความขัดแย้ง ในเวลา 1 ปี ของรัฐบาลชุดใหม่ จะต้องร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้สามารถนำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมา แม้มีการเลือกตั้งแต่เป็นประชาธิปไตยไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีการครอบงำองค์กรอิสระ และสื่อมวลชน ทุกอย่างเป็น 2 มาตรฐาน
“ต่อไปนี้ รัฐบาลจะทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ นักธุรกิจ นักลงทุน ไม่ต้องเลือกข้าง ดำเนินภารกิจไปตามปกติ อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่มี 2 มาตรฐาน เหมือนที่ผ่านมาแล้ว” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในปีหน้า ถ้ามองถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะเติบโตน้อยลง โดยทุกสำนักคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตร้อยละ 4.9 สหรัฐจะเติบโตร้อยละ 2.9 สหภาพยุโรปจะเติบโตร้อยละ 2.3 แต่ในส่วนของเศรษฐกิจไทย แม้ปีหน้าการส่งออกอาจขยายตัวน้อยกว่าที่ผ่านมา หรือประมาณร้อยละ 9-10 แต่จะถูกชดเชยด้วยการลงทุนภาคเอกชนที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังเกิดความเชื่อมั่น และการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลทำได้เร็วกว่าที่คาดไว้ประมาณ 6 เดือน จะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภค จึงเชื่อว่าน่าจะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 5 ขณะที่การลงทุนเอกชนจะขยายตัวประมาณร้อยละ 7-8 ส่วนอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มนิ่งแล้ว
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า เชื่อว่านักลงทุนในและต่างประเทศจะเกิดความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น หลังบรรยากาศการเมืองมีแนวโน้มดีขึ้น และเชื่อว่าหลังจากรัฐบาลตั้งแล้วเสร็จและมีการประกาศนโยบายออกมาแล้ว จะส่งผลดีต่อภาพรวมมากยิ่งขึ้น และจะมีเงินไหลเข้าตลาดทุนมากขึ้น ส่วนกรณีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น ยอมรับว่าหากชะงักไปก็จะส่งผลต่อตลาดหุ้นแน่นอน เพราะว่ารัฐวิสาหกิจอยู่ในความสนใจของนักลงทุน ดังนั้น นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็ควรเดินหน้าต่อไป แต่ในเรื่องของความโปร่งใส และข้อกฎหมายก็ต้องพิจารณาให้ดีในกระบวนการแปรรูป
นายวิชัย พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวเช่นเดียวกันว่า สังคมโลกค่อนข้างมั่นใจต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ว่าจะทำให้ทุกอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต ส่วนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้ารอ เพราะขณะนี้เหมือนกับกำลังปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน ต้องให้ทุกอย่างเรียบร้อย สิ่งที่ภาคเอกชนหวังคือ นโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล ส่วนเกี่ยวกับตลาดทุนนั้น อยากให้เร่งผลักดันแผนพัฒนาตลาดทุนฉบับที่ 2 ที่ได้เสนอไปเมื่อรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยให้พัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างไม่มีเงื่อนไข