กรมศุลกากร โยน ทอท.พัฒนาระบบออนไลน์ล่าช้าทำให้สินค้าตกค้างใน"ฟรีโซน" ยืนยันไม่เกี่ยวกับพิธีการศุลกากร เนื่องจากรูปแบบเอกสาร และการปฏิบัติยังเป็นมาตรฐานเดียวกับ"ดอนเมือง" พร้อมระบุมีการเปลี่ยนระบบก่อนเปิดใช้จริงเพียงไม่กี่วัน ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ล่าช้า เพราะไม่มีความชำนาญ
วันนี้ นายสุริยา สุขอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากร ตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ออกมาแถลงยืนยันปัญหาเรื่องความล่าช้าของระบบขนส่งสินค้าทางอากาศ หรือ คาร์โกว่า ไม่มีปัญหาเรื่องการให้บริการผ่านพิธีการศุลกากรแต่อย่างใด เพราะรูปแบบเอกสารผ่านพิธีการ และการปฏิบัติต่าง ๆ ที่สุวรรณภูมิ ในขณะนี้ยังเป็นแบบและมาตรฐานเหมือนกับระบบที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นพบว่าเป็นสินค้าที่ให้บริการโดยบริษัทบางกอก ไฟลท์ เซอร์วิสเซส หรือบีเอฟเอส ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงระบบออนไลน์ หรืออีดีไอ ของศุลกากรได้ เป็นเหตุให้เกิดปัญหาความขลุกขลักต่า งๆ เช่น การหาสินค้าไม่ครบ ไม่สามารถส่งมอบสินค้าแก่ผู้ประกอบการได้ ดังนั้น กรมศุลกากรจึงได้มีหนังสือแจ้งปัญหาดังกล่าวให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้บริหารเขตปลอดอากร เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน ส่วนอีกทางหนึ่ง สำนักงานศุลกากรได้ดำเนินการตรวจปล่อยสินค้าในรูประบบแมนนวล หรือการกรอกเอกสารแทนระบบออนไลน์ไปก่อน
“ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะระบบของบีเอฟเอส มีการพัฒนาระบบออนไลน์รองรับระบบ ACCS ที่ ทอท. ระบุจะนำมาใช้ในเขตฟรีโซน ที่เป็นระบบติดตามการเคลื่อนย้ายสินค้าตั้งแต่การขึ้น-ลงจากเครื่องบินที่ ทอท. เสนอกับกรมศุลกากร ว่าจะใช้ระบบนี้ แต่ก่อนเปิดใช้สุวรรณภูมิเพียงไม่กี่วัน ทาง ทอท. แจ้งว่า ระบบ ACCS ขอให้ใช้ระบบ EDI ไปก่อน จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2550 ซึ่งกรณีคาร์โกการบินไทย ที่คุ้นเคยระบบ EDI จากดอนเมือง จึงไม่มีปัญหา แต่บีเอฟเอสเป็นรายใหม่ จึงทำให้เกิดความล่าช้า แต่จากที่ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมแก้ปัญหา ก็คาดว่า ปัญหาจะคลี่คลายในเร็ว ๆ นี้” นายสุริยา กล่าว
ส่วนกรณีความแออัดของสินค้าส่งออกที่ออกจากคาร์โก แล้วเกิดการกระจุกตัว นายสุริยะ กล่าวว่า เกิดจากที่ ”สุวรรณภูมิ” ไม่มีสถานที่เก็บรักษาสินค้า เพื่อรอการขนขึ้นเครื่องบิน ซึ่งกรมศุลกากรได้ขอร้องไปยังผู้บริหารเขตปลอดอากร คือ บริษัทไทยแอร์พอร์ต กราว์ เซอร์วิสเซส หรือ แท็กซ์ ให้ช่วยเปิดคลังสินค้าเพิ่มขึ้นอีก
นายสมโรจน์ ตันชัยนันท์ ประธานอนุกรรมการ ฝ่ายสนามบิน สมาคมขนส่งสินค้าอากาศยาน หรือทาฟา กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ สมาคมจะร่วมประชุมหารือกับบีเอฟเอส โดยสมาคมฯ จะเสนอตัวไปช่วยดูแล เก็บคัดแยกเอกสาร คาดว่าน่าจะมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น จากเดิมที่สินค้าจะนำมาชั่งน้ำหนักมีความล่าช้าถึง 1 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากปัญหาของบีเอฟเอส ทำให้ชิปปิ้งต่าง ๆ มาใช้บริการของการบินไทยในการนำเข้าส่งออกสินค้า ส่งผลให้การบินไทยได้เพิ่มเที่ยวบินรับสินค้า จาก 52 เที่ยวบิน เป็น 62 เที่ยวบิน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา และหากในอนาคต บีเอสเอฟยังเปิดให้บริการไม่ได้ คาดว่าการบินไทยจะต้องเพิ่มเที่ยวบินรับสินค้าอีกประมาณ 10-15 เที่ยวบิน และในส่วนของบีเอฟเอส ที่ใช้ระบบออนไลน์ไม่ได้ ต้องใช้ระบบแมนนวลแทนนั้น ได้ทำให้การออกใบขนสินค้าเป็นไปอย่างล่าช้า โดยตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน ถึงวันที่ 4 ตุลาคม กรมศุลกากร มีการออกใบขนสินค้าขาออก ประมาณ 27,587 ใบ แต่มีการตรวจอนุมัติออกไปเพียง 303 ใบ หรือร้อยละ 1.1 ในขณะที่มีการขอใบขนสินค้าขาเข้า 15,249 ใบ แต่มีการตรวจอนุมัติไปเพียง 6,100 ใบ หรือร้อยละ 28 เท่านั้น
วันนี้ นายสุริยา สุขอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากร ตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ออกมาแถลงยืนยันปัญหาเรื่องความล่าช้าของระบบขนส่งสินค้าทางอากาศ หรือ คาร์โกว่า ไม่มีปัญหาเรื่องการให้บริการผ่านพิธีการศุลกากรแต่อย่างใด เพราะรูปแบบเอกสารผ่านพิธีการ และการปฏิบัติต่าง ๆ ที่สุวรรณภูมิ ในขณะนี้ยังเป็นแบบและมาตรฐานเหมือนกับระบบที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นพบว่าเป็นสินค้าที่ให้บริการโดยบริษัทบางกอก ไฟลท์ เซอร์วิสเซส หรือบีเอฟเอส ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงระบบออนไลน์ หรืออีดีไอ ของศุลกากรได้ เป็นเหตุให้เกิดปัญหาความขลุกขลักต่า งๆ เช่น การหาสินค้าไม่ครบ ไม่สามารถส่งมอบสินค้าแก่ผู้ประกอบการได้ ดังนั้น กรมศุลกากรจึงได้มีหนังสือแจ้งปัญหาดังกล่าวให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้บริหารเขตปลอดอากร เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน ส่วนอีกทางหนึ่ง สำนักงานศุลกากรได้ดำเนินการตรวจปล่อยสินค้าในรูประบบแมนนวล หรือการกรอกเอกสารแทนระบบออนไลน์ไปก่อน
“ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะระบบของบีเอฟเอส มีการพัฒนาระบบออนไลน์รองรับระบบ ACCS ที่ ทอท. ระบุจะนำมาใช้ในเขตฟรีโซน ที่เป็นระบบติดตามการเคลื่อนย้ายสินค้าตั้งแต่การขึ้น-ลงจากเครื่องบินที่ ทอท. เสนอกับกรมศุลกากร ว่าจะใช้ระบบนี้ แต่ก่อนเปิดใช้สุวรรณภูมิเพียงไม่กี่วัน ทาง ทอท. แจ้งว่า ระบบ ACCS ขอให้ใช้ระบบ EDI ไปก่อน จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2550 ซึ่งกรณีคาร์โกการบินไทย ที่คุ้นเคยระบบ EDI จากดอนเมือง จึงไม่มีปัญหา แต่บีเอฟเอสเป็นรายใหม่ จึงทำให้เกิดความล่าช้า แต่จากที่ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมแก้ปัญหา ก็คาดว่า ปัญหาจะคลี่คลายในเร็ว ๆ นี้” นายสุริยา กล่าว
ส่วนกรณีความแออัดของสินค้าส่งออกที่ออกจากคาร์โก แล้วเกิดการกระจุกตัว นายสุริยะ กล่าวว่า เกิดจากที่ ”สุวรรณภูมิ” ไม่มีสถานที่เก็บรักษาสินค้า เพื่อรอการขนขึ้นเครื่องบิน ซึ่งกรมศุลกากรได้ขอร้องไปยังผู้บริหารเขตปลอดอากร คือ บริษัทไทยแอร์พอร์ต กราว์ เซอร์วิสเซส หรือ แท็กซ์ ให้ช่วยเปิดคลังสินค้าเพิ่มขึ้นอีก
นายสมโรจน์ ตันชัยนันท์ ประธานอนุกรรมการ ฝ่ายสนามบิน สมาคมขนส่งสินค้าอากาศยาน หรือทาฟา กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ สมาคมจะร่วมประชุมหารือกับบีเอฟเอส โดยสมาคมฯ จะเสนอตัวไปช่วยดูแล เก็บคัดแยกเอกสาร คาดว่าน่าจะมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้น จากเดิมที่สินค้าจะนำมาชั่งน้ำหนักมีความล่าช้าถึง 1 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากปัญหาของบีเอฟเอส ทำให้ชิปปิ้งต่าง ๆ มาใช้บริการของการบินไทยในการนำเข้าส่งออกสินค้า ส่งผลให้การบินไทยได้เพิ่มเที่ยวบินรับสินค้า จาก 52 เที่ยวบิน เป็น 62 เที่ยวบิน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา และหากในอนาคต บีเอสเอฟยังเปิดให้บริการไม่ได้ คาดว่าการบินไทยจะต้องเพิ่มเที่ยวบินรับสินค้าอีกประมาณ 10-15 เที่ยวบิน และในส่วนของบีเอฟเอส ที่ใช้ระบบออนไลน์ไม่ได้ ต้องใช้ระบบแมนนวลแทนนั้น ได้ทำให้การออกใบขนสินค้าเป็นไปอย่างล่าช้า โดยตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน ถึงวันที่ 4 ตุลาคม กรมศุลกากร มีการออกใบขนสินค้าขาออก ประมาณ 27,587 ใบ แต่มีการตรวจอนุมัติออกไปเพียง 303 ใบ หรือร้อยละ 1.1 ในขณะที่มีการขอใบขนสินค้าขาเข้า 15,249 ใบ แต่มีการตรวจอนุมัติไปเพียง 6,100 ใบ หรือร้อยละ 28 เท่านั้น