ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคนี้ โดยภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งขจัดปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า การเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะพัฒนาศักยภาพของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การโดยสารเชิงพาณิชย์ถือเป็นมุมมองหนึ่งของการคมนาคมทางอากาศเท่านั้น ซึ่งความจำเป็นของสนามบินในฐานะเป็นจุดรับส่งสินค้าก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสำเร็จของสนามบินในระยะสั้น ได้แก่ การสร้างความพึงพอใจของผู้โดยสาร โดยเน้นการอำนวยความสะดวก บรรยากาศสนามบิน ซึ่งรวมถึงความสะอาดและความปลอดภัย เป็นต้น โดยควรศึกษาจากประสบการณ์ของสนามบินในภูมิภาคเอเชียที่มีประวัติการพัฒนาสนามบินสู่ความเป็นเลิศในด้านประสิทธิภาพและการบริการ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของสนามบินในระยะยาว จำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพในการรองรับการขยายตัวของปริมาณผู้โดยสารและปริมาณสินค้าในอนาคตและเตรียมแผนการขยายพื้นที่สนามบินรองรับที่สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ยังต้องเร่งพัฒนาระบบโครงข่ายที่เชื่อมโยงระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิกับศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ เพื่อรองรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กรมศุลกากร และภาคเอกชนในธุรกิจสายการบิน การขนส่งและการท่องเที่ยว ต้องร่วมมือกัน เพื่อหาแนวทางในการกำหนดทิศทางการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินับเป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ การลงทุนอย่างต่อเนื่องโครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ โครงการทางรถไฟรางคู่ที่เชื่อมต่อสนามบินกับพื้นที่อุตสาหกรรมหลัก และโครงข่ายระบบโลจิสติกส์อื่น ๆ นอกจากจะมีส่วนกระตุ้นภาคการลงทุนและการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้นแล้ว ระบบโครงข่ายการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดต้นทุนในด้านพลังงาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการขนส่ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจเอกชนของไทยในการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า การเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะพัฒนาศักยภาพของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การโดยสารเชิงพาณิชย์ถือเป็นมุมมองหนึ่งของการคมนาคมทางอากาศเท่านั้น ซึ่งความจำเป็นของสนามบินในฐานะเป็นจุดรับส่งสินค้าก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสำเร็จของสนามบินในระยะสั้น ได้แก่ การสร้างความพึงพอใจของผู้โดยสาร โดยเน้นการอำนวยความสะดวก บรรยากาศสนามบิน ซึ่งรวมถึงความสะอาดและความปลอดภัย เป็นต้น โดยควรศึกษาจากประสบการณ์ของสนามบินในภูมิภาคเอเชียที่มีประวัติการพัฒนาสนามบินสู่ความเป็นเลิศในด้านประสิทธิภาพและการบริการ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของสนามบินในระยะยาว จำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพในการรองรับการขยายตัวของปริมาณผู้โดยสารและปริมาณสินค้าในอนาคตและเตรียมแผนการขยายพื้นที่สนามบินรองรับที่สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ยังต้องเร่งพัฒนาระบบโครงข่ายที่เชื่อมโยงระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิกับศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ เพื่อรองรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าภายในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กรมศุลกากร และภาคเอกชนในธุรกิจสายการบิน การขนส่งและการท่องเที่ยว ต้องร่วมมือกัน เพื่อหาแนวทางในการกำหนดทิศทางการบริหารจัดการสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินับเป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ การลงทุนอย่างต่อเนื่องโครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ โครงการทางรถไฟรางคู่ที่เชื่อมต่อสนามบินกับพื้นที่อุตสาหกรรมหลัก และโครงข่ายระบบโลจิสติกส์อื่น ๆ นอกจากจะมีส่วนกระตุ้นภาคการลงทุนและการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะสั้นแล้ว ระบบโครงข่ายการคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดต้นทุนในด้านพลังงาน ต้นทุนค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการขนส่ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจเอกชนของไทยในการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ