หลังจากที่นายปณิธาน เศรษฐบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยัมเรสเทอรองต์ส อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย จำกัด ได้ลาออกไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ ดูเหมือนว่า ค่ายพิซซ่าฮัทกับเคเอฟซี จะออกอาการเงียบไปทีเดียว ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวในด้านการตลาดมากเท่าใดนัก ในด้านของการให้ข่าวหรือพบปะผู้บริหาร ทั้งสองแบรนด์ ปล่อยให้คู่แข่งโดยเฉพาะแบรนด์เดอะพิซซ่าคอมปะนี ทำการตลาดแซงหน้าไปหลายขุม
ค่ายยัม ฯถูกจับตามองอย่างมากกว่า จากนี้ไป ใครจะเป็นผู้ขึ้นมากุมบังเหียนนาวาลำนี้ ที่กำลังถูกท้าทายจากสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจอาหารที่รุนแรงขึ้น ภายใต้กระแสรักสุขภาพและกำลังซื้อที่หดหายไปจากผู้บริโภค แต่ก็ไม่มีวี่แววว่า ยัมฯจะแต่งตั้งใครเข้ามาดูแลตำแหน่งนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ปรากฎว่า มีจดหมายเชิญจากทางยัมฯว่าจะมีการแถลงข่าวในประเด็น มาร์เกตติ้ง คอร์ปอเรท ของพิซซ่าฮัท โดยผู้ที่จะแถลงข่าวคือ นาย โจเซฟ ฮาน ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย จึงน่าติดตามกับงานครั้งนั้นมาก
อันที่จริงแล้ว โจเซฟ ฮาน คนนี้ ทำงานอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 2 ปี กับอีก 8 เดือนแล้ว ในตำแหน่ง คันทรีแมเนเจอร์ (Country Manager) ซึ่งเป็นตำแหน่งใหญ่ที่สุดในไทย แต่เขาไม่เป็นที่รู้จักของกระจอกข่าวมากเท่าใดนัก เพราะเขามักจะอยู่หลังฉาก ไม่ค่อยได้เผยโฉมหน้าสักเท่าใด
ครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวกับผู้สื่อข่าวในวันนั้น แทนที่จะเป็นการเปิดตัวด้วย วิชั่น หรือนโยบาย ตามปกติของการเปิดตัวผู้บริหาร ดูเหมือนว่า วันนั้นจะเป็นการเปิดตัวเขาด้วยประเด็นร้อนอย่างยิ่ง ชนิดที่น่าสนใจทีเดียว กับการเปิดศึกอีกครั้งกับพิซซ่าคู่แข่งในนาม เดอะพิซซ่าคอมปะนี เกี่ยวกับเรื่อง แคมเปญการตลาดและการทำประชาสัมพันธ์ที่ฝ่ายพิซซ่าฮัทอ้างว่า ใกล้เคียงกันจนทำให้บางครั้งผู้บริโภคแทบจะแยกไม่ออกว่าของค่ายใดกันแน่ ดังที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ไปแล้วก่อนหน้านี้
เรียกได้ว่า ครั้งแรกก็ฮือฮาเลยเรื่องปัญหาดังกล่าวนั้น โจเซฟ ฮาน บอกว่า ปล่อยให้ทางด้านทีมกฎหมายดำเนินการไป และขอความร่วมมือ เดอะพิซซ่าคอมปะนีเพื่อให้หยุดการกระทำดังกล่าวด้วย
แต่ในส่วนตัวเขาแล้ว โจเซฟ ฮาน มองตลาดพิซซ่า ในประเทศไทยว่า เป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่รุนแรงตลาดหนึ่ง จากประสบการณ์ที่เขาเคยทำงานบริหารให้กับกลุ่มยัมฯเจ้าของพิซซ่าฮัทมามากกว่า 10 ปีในหลายประเทศ บวกกับประสบการณ์ที่ผ่านมาในแวดวงอาหารทั่วโลกมากว่า 25 ปีแล้ว
ก่อนหน้าที่เขาจะมาบริหารในไทย เขานั่งบริหารงานพิซซ่าฮัทที่ประเทศจีน ซึ่งโจเซฟได้เปรียบเทียบระหว่างตลาดประเทศไทยกับตลาดจีน ให้ฟังว่า ในประเทศจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับทุกธุรกิจ เช่นเดียวกับตลาดพิซซ่า และมีผู้ประกอบการหลายราย การแข่งขันก็สูงเช่นกัน แต่แตกต่างจากประเทศไทยที่ตลาดพิซซ่าแข่งขันสูงจากผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 2 แบรนด์เท่านั้น
การทำตลาดในประเทศไทยอาจจะมีความยากและต่างจากที่ทำในจีนบ้าง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเขาก็ได้ทำการศึกษาและวิจัยตลาดในไทยอย่างเต็มที่เพื่อหวังที่จะนำมาเป็นข้อมูลในการทำตลาด โปรโมชั่น เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด
“การแข่งขันเป็นเรื่องที่ดีและน่าตื่นเต้น เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการทุกรายมีการพัฒนาและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ในการพัฒนาและนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดและดีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลดีทั้งหมดก็ตกอยู่กับตัวผู้บริโภคที่เป็นผู้ได้รับ แต่การแข่งขันนั้นก็ควรอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง ความเหมาะสมที่ควรจะเป็น” เป็นการแสดงความคิดเห็นของโจเซฟ ที่เหมือนกับสะท้อนอะไรบางอย่างนี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโจเซฟ กับการบริหารงานในไทย ซึ่งจากนี้ไป เขาคงจะต้องแสดงฝีมือในการบริหาร และขับเคลื่อนองค์กรของยัมฯนี้ให้ก้าวหน้าไปมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์พิซซ่าฮัท หรือ เคเอฟซี ท่ามกลางมูลค่าตลาดฟาสต์ฟู้ดกว่า 12,000 ล้านบาท