ดัชมิลล์ เปิดแนวรบใหม่ลุยตลาดน้ำผลไม้เต็มรูปแบบ ดึงวาเลนเซียจากบริษัทลูกมาทำตลาดเอง ละเลงศึกลงเซกเมนต์น้ำผลไม้ 100% มูลค่า 2,000 ล้านบาท กระตุกหนวดเสือทิปโก้ ล่าสุดรุดรีลอนช์วาเลนเซียใหม่ เปิดตัวนวัตกรรมน้ำผลไม้ 100% สูตร”มัลติ ฟรุต”น้ำผลไม้ผสมวิตามิน ดึง3 สาวชื่อดัง กาละแมร์ -มีสุข -นีน่า ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ เจาะสาววัยทำงานห่วงใยสุขภาพ
แหล่งข่าวจาก บริษัท ดัชมิลล์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมเปรี้ยว-คัพโยเกิร์ตดัชมิลล์และนมพร้อมดื่มแดรี่พลัส เปิดเผยกับ”ผู้จัดการรายวัน”ว่า จากการที่บริษัทกุยบุรีผลไม้กระป๋อง จำกัด บริษัทในเครือของดัชมิลล์ กรุ๊ป ได้เปิดตัวน้ำผลไม้วาเลนเซีย เมื่อปี 2546 โดยชูจุดเด่นการเป็นน้ำผลไม้ผสมผลไม้รวม 100 % การไม่เติมน้ำตาลและวัตถุกันเสียเป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด โดยเริ่มออกสู่ตลาด 3 รส ได้แก่ ส้ม องุ่น น้ำผักผลไม้ ในขนาดบรรจุภัณฑ์กล่อง ล่าสุดบริษัทดัชมิลล์ได้ดึงน้ำผลไม้วาเลนเซียกลับมาทำตลาดและจัดจำหน่ายเองทั้งหมด
หลังจากการก่อนหน้านี้ให้บริษัท ซีพี คอนซูเมอร์ โปรดักส์ เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย และกุยบุรีดูแลการตลาด ส่วนผู้ผลิตนั้นดัชมิลล์เป็นผู้ผลิตมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ทั้งนี้การดำเนินทางการตลาดน้ำผลไม้วาเลนเซียในเชิงรุกของดัชมิลล์ เนื่องจากนโยบายของบริษัทต้องการสร้างขาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม จากปัจจุบันดัชมิลล์ถือว่าเป็นผู้นำตลาดนมเปรี้ยวพร้อมดื่มและคัพโยเกิร์ตมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยตลาดนมเปรี้ยวพร้อมดื่มมูลค่า 7,000 - 8,000 ล้านบาท ซึ่งในตลาดนี้ดัชมิลล์มีส่วนแบ่ง 90% สิ้นปีเพิ่มเป็น 91-92%
โดยโครงการธุรกิจของดัชมิลล์มีนมเปรี้ยวเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท จากรายได้รวมที่สิ้นปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% หรือมีรายได้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา 3,500 ล้านบาท ส่วนตลาดคัพ โยเกิร์ต มูลค่า 2,000 - 3,000 ล้านบาท ดัชชี่ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 71% เป็น 72% ตามด้วยนมพร้อมดื่มแดรี่พลัส เป็นต้น
สำหรับแนวทางการตลาดน้ำผลไม้วาเลนเซีย บริษัทได้ทำการรีลอนช์ใหม่เป็นสูตร”มัลติฟรุต”นวัตกรรมใหม่ที่พัฒนาขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากน้ำผลไม้100% ที่อยู่ในตลาดที่สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการใส่คอลลาเจนเข้าไป หรือเป็นการผสมระหว่างผลไม้ต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้น้ำผลไม้วาเลนเซียเป็นลักษณะมิกซ์กับน้ำผลไม้อื่นๆ เช่นกัน
สำหรับจุดเด่นของมัลติฟรุต คือ เป็นน้ำผลไม้ที่สร้างมูลค่าเพิ่มโดยใส่วิตามินจากผลไม้หลากหลายเป็นส่วนผสมวางจำหน่าย 3 รสชาติ ได้แก่ ส้ม องุ่น และแอปเปิ้ล โดยมีทั้งบรรจุภัณฑ์กล่อง 4 ขนาด ได้แก่ 110 มล.150มล.250มล.และ 1,000มล.จำหน่ายในโมเดิร์นเทรดและเทรดิชันนัลเทรด นอกจากนี้ยังมีขวดเพ็ทจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟแห่งเดียว ราคา 20 บาท
พร้อมกันนี้เพื่อสร้างสินค้าให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง บริษัทได้ทำการตลาดอย่างครบวงจร ประเดิมด้วยการเปิดตัวสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ ด้วยการดึง 3 สาวที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ ได้แก่ กาละแมร์ -พัชรศรี เบญจมาศ ,ไก่-มีสุข แจ้งมีสุข และนีนา-กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้กลยุทธ์การสื่อสาร”มาแค่หนึ่งไม่พอ ต้องมาสาม” เพื่อสื่อสารถึงจุดเด่นของน้ำผลไม้วาเลนเซียที่ใส่วิตามินหลากหลายในรสชาติเดียว
ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับกระแสสุขภาพที่กำลังมาแรง ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยน้ำผลไม้วาเลนเซียเจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มวัยทำงานและกลุ่มคนที่ใส่ใจต่อสุขภาพ นอกจากบริษัทยังได้แจกสินค้าตัวอย่างตามสำนักงานต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลอง
ทิศทางตลาดน้ำผลไม้โดยรวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท ตลาดน้ำผลไม้ 100% มูลค่า 2,000 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด โดยปีนี้ประมาณการณ์ว่าตลาดโต 20% เนื่องจากพฤติกรรมคนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ อีกทั้งเป็นเพราะผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดใช้กลยุทธ์ราคา โดยวางตำแหน่งราคาใกล้เคียงกับน้ำผลไม้ 40% พร้อมกันนี้ยังใช้กลยุทธ์แพกคู่ จึงทำให้ตลาดขยายตัวสูง โดยในตลาดนี้มีผู้นำ คือ ทิปโก้ครองส่วนแบ่ง 45% ยูนิฟ 21% มาลี 18% เนทส์เล่ 4% ชบา 2% และอื่นๆ 10%
ส่วนตลาดน้ำผลไม้ต่ำกว่า 25% มูลค่า 1,548 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15% เนื่องจากมีกลุ่มผู้ดื่มหน้าใหม่เริ่มหันมาทดลองดื่ม โดยในตลาดนี้มีผู้นำตลาด คือ ดีโด้ ครองส่วนแบ่ง 37% ดีดี 8% โกลเด้นท์แพน 4% คู 2% กรีนเมท 5% ซันเด 2% บีเบอร์ 1% และอื่นๆ 41% ทั้งนี้หากพิจารณาดูในตลาดนี้ยังมีผู้เล่นยักษ์ใหญ่อย่างสแปลช ของค่ายโค้ก และทรอปิคานาจากค่ายเป๊ปซี่
ขณะที่สภาพตลาดน้ำผลไม้ 40% มูลค่า 337 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด เนื่องจากจุดขายของน้ำผลไม้ 40% คือ ด้านความสดชื่น ซึ่งเป็นจุดขายเดียวกับกลุ่มเครื่องดื่มชาเขียวและชาดำพร้อมดื่ม หรือกระทั่งน้ำอัดลม ฯลฯ ได้เข้ามาแย่งผู้ดื่มน้ำผลไม้ 40%ไป จึงทำให้ในตลาดนี้ผู้ประกอบการค่ายน้ำผลไม้ปรับตัว ด้วยการเพิ่มคุณค่าหรือสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า โดยเติมคอลลาเจนในน้ำผลไม้ เป็นต้น สำหรับในตลาดนี้ยูนิฟเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 41% ทิปโก้ คูล 25% โมกุ โมกุ 12% เดลี่ ซี 2% มาลี 2% อื่นๆ 18%
แหล่งข่าวจาก บริษัท ดัชมิลล์ ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมเปรี้ยว-คัพโยเกิร์ตดัชมิลล์และนมพร้อมดื่มแดรี่พลัส เปิดเผยกับ”ผู้จัดการรายวัน”ว่า จากการที่บริษัทกุยบุรีผลไม้กระป๋อง จำกัด บริษัทในเครือของดัชมิลล์ กรุ๊ป ได้เปิดตัวน้ำผลไม้วาเลนเซีย เมื่อปี 2546 โดยชูจุดเด่นการเป็นน้ำผลไม้ผสมผลไม้รวม 100 % การไม่เติมน้ำตาลและวัตถุกันเสียเป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด โดยเริ่มออกสู่ตลาด 3 รส ได้แก่ ส้ม องุ่น น้ำผักผลไม้ ในขนาดบรรจุภัณฑ์กล่อง ล่าสุดบริษัทดัชมิลล์ได้ดึงน้ำผลไม้วาเลนเซียกลับมาทำตลาดและจัดจำหน่ายเองทั้งหมด
หลังจากการก่อนหน้านี้ให้บริษัท ซีพี คอนซูเมอร์ โปรดักส์ เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย และกุยบุรีดูแลการตลาด ส่วนผู้ผลิตนั้นดัชมิลล์เป็นผู้ผลิตมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ทั้งนี้การดำเนินทางการตลาดน้ำผลไม้วาเลนเซียในเชิงรุกของดัชมิลล์ เนื่องจากนโยบายของบริษัทต้องการสร้างขาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม จากปัจจุบันดัชมิลล์ถือว่าเป็นผู้นำตลาดนมเปรี้ยวพร้อมดื่มและคัพโยเกิร์ตมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยตลาดนมเปรี้ยวพร้อมดื่มมูลค่า 7,000 - 8,000 ล้านบาท ซึ่งในตลาดนี้ดัชมิลล์มีส่วนแบ่ง 90% สิ้นปีเพิ่มเป็น 91-92%
โดยโครงการธุรกิจของดัชมิลล์มีนมเปรี้ยวเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท จากรายได้รวมที่สิ้นปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% หรือมีรายได้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา 3,500 ล้านบาท ส่วนตลาดคัพ โยเกิร์ต มูลค่า 2,000 - 3,000 ล้านบาท ดัชชี่ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 71% เป็น 72% ตามด้วยนมพร้อมดื่มแดรี่พลัส เป็นต้น
สำหรับแนวทางการตลาดน้ำผลไม้วาเลนเซีย บริษัทได้ทำการรีลอนช์ใหม่เป็นสูตร”มัลติฟรุต”นวัตกรรมใหม่ที่พัฒนาขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากน้ำผลไม้100% ที่อยู่ในตลาดที่สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการใส่คอลลาเจนเข้าไป หรือเป็นการผสมระหว่างผลไม้ต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้น้ำผลไม้วาเลนเซียเป็นลักษณะมิกซ์กับน้ำผลไม้อื่นๆ เช่นกัน
สำหรับจุดเด่นของมัลติฟรุต คือ เป็นน้ำผลไม้ที่สร้างมูลค่าเพิ่มโดยใส่วิตามินจากผลไม้หลากหลายเป็นส่วนผสมวางจำหน่าย 3 รสชาติ ได้แก่ ส้ม องุ่น และแอปเปิ้ล โดยมีทั้งบรรจุภัณฑ์กล่อง 4 ขนาด ได้แก่ 110 มล.150มล.250มล.และ 1,000มล.จำหน่ายในโมเดิร์นเทรดและเทรดิชันนัลเทรด นอกจากนี้ยังมีขวดเพ็ทจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟแห่งเดียว ราคา 20 บาท
พร้อมกันนี้เพื่อสร้างสินค้าให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง บริษัทได้ทำการตลาดอย่างครบวงจร ประเดิมด้วยการเปิดตัวสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ ด้วยการดึง 3 สาวที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ ได้แก่ กาละแมร์ -พัชรศรี เบญจมาศ ,ไก่-มีสุข แจ้งมีสุข และนีนา-กุลนัดดา ปัจฉิมสวัสดิ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้กลยุทธ์การสื่อสาร”มาแค่หนึ่งไม่พอ ต้องมาสาม” เพื่อสื่อสารถึงจุดเด่นของน้ำผลไม้วาเลนเซียที่ใส่วิตามินหลากหลายในรสชาติเดียว
ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับกระแสสุขภาพที่กำลังมาแรง ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยน้ำผลไม้วาเลนเซียเจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มวัยทำงานและกลุ่มคนที่ใส่ใจต่อสุขภาพ นอกจากบริษัทยังได้แจกสินค้าตัวอย่างตามสำนักงานต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลอง
ทิศทางตลาดน้ำผลไม้โดยรวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท ตลาดน้ำผลไม้ 100% มูลค่า 2,000 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด โดยปีนี้ประมาณการณ์ว่าตลาดโต 20% เนื่องจากพฤติกรรมคนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ อีกทั้งเป็นเพราะผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดใช้กลยุทธ์ราคา โดยวางตำแหน่งราคาใกล้เคียงกับน้ำผลไม้ 40% พร้อมกันนี้ยังใช้กลยุทธ์แพกคู่ จึงทำให้ตลาดขยายตัวสูง โดยในตลาดนี้มีผู้นำ คือ ทิปโก้ครองส่วนแบ่ง 45% ยูนิฟ 21% มาลี 18% เนทส์เล่ 4% ชบา 2% และอื่นๆ 10%
ส่วนตลาดน้ำผลไม้ต่ำกว่า 25% มูลค่า 1,548 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15% เนื่องจากมีกลุ่มผู้ดื่มหน้าใหม่เริ่มหันมาทดลองดื่ม โดยในตลาดนี้มีผู้นำตลาด คือ ดีโด้ ครองส่วนแบ่ง 37% ดีดี 8% โกลเด้นท์แพน 4% คู 2% กรีนเมท 5% ซันเด 2% บีเบอร์ 1% และอื่นๆ 41% ทั้งนี้หากพิจารณาดูในตลาดนี้ยังมีผู้เล่นยักษ์ใหญ่อย่างสแปลช ของค่ายโค้ก และทรอปิคานาจากค่ายเป๊ปซี่
ขณะที่สภาพตลาดน้ำผลไม้ 40% มูลค่า 337 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด เนื่องจากจุดขายของน้ำผลไม้ 40% คือ ด้านความสดชื่น ซึ่งเป็นจุดขายเดียวกับกลุ่มเครื่องดื่มชาเขียวและชาดำพร้อมดื่ม หรือกระทั่งน้ำอัดลม ฯลฯ ได้เข้ามาแย่งผู้ดื่มน้ำผลไม้ 40%ไป จึงทำให้ในตลาดนี้ผู้ประกอบการค่ายน้ำผลไม้ปรับตัว ด้วยการเพิ่มคุณค่าหรือสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า โดยเติมคอลลาเจนในน้ำผลไม้ เป็นต้น สำหรับในตลาดนี้ยูนิฟเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 41% ทิปโก้ คูล 25% โมกุ โมกุ 12% เดลี่ ซี 2% มาลี 2% อื่นๆ 18%