ศรีราชา โมด้ารุกเพิ่มไลน์สินค้าครบวงจร ล่าสุดลุยสู่ตลาดแฟชั่นครื่องหนัง ภายใต้แบรนด์คาริสซา วางตำแหน่งสินค้าระดับบน เจาะลูกค้ามีเงินที่ชอบหนังจระเข้ เล็งขยายสาขาคาริสซาภายใน 2 ปีเพิ่มอีก 4 แห่ง พร้อยลุยตลาดต่างประเทศในอีก 2 ปี ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 10-20 ล้านบาท
นายกำธร เต็มศิริพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทศรีราชา โมด้า เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯว่า ได้มีการเพิ่มไลน์การผลิตสินค้าแปรรูปจากจระเข้ไปสู่กลุ่มแฟชั่นเครื่องหนัง ภายใต้แบรนด์ “คาริสซา” ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าของคนไทย โดยคาริสซามีสินค้าด้วยกัน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กระเป๋าสตรี 2.กระเป๋าใบเล็กสำหรับใส่เงิน หรือ วอลเล็ต 3.รองเท้า และ4.เครื่องประดับหนัง ซึ่งระดับราคาสินค้าหากเป็นหนังจระเข้จะมีประมาณ 6-8 หมื่นบาท และหนังผสมระหว่างจระเข้และงู ราคา 3-4 หมื่นบาท
ทั้งนี้แบรนด์คาริสซาได้วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ไว้เป็นระดับบน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ระดับบีบวกขึ้นไปถึงระดับเอบวก ซึ่งเบื้องต้นจะทำตลาดผ่านช่องทางจำหน่ายระดับบน โดยเปิดร้านของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่เพนนินซูล่า เป็นโชว์รูมเปิดมา 3 ปี และล่าสุดเปิดคอร์เนอร์ที่ ศูนย์การค้าสยามพารากอน จากนั้นตั้งเป้า 2 ปีขยายเพิ่มอีก 4 แห่ง อาทิ เอ็มโพเรียม และเซ็นทรัล เวิลด์พลาซ่า ภายใต้งบลงทุนแห่งละ 1 ล้านบาท ต่อจากนั้นภายใน 2 ปีเล็งทำตลาดออกไปต่างประเทศ เช่น ภูมิภาคเอเชีย และเตรียมขยายสู่ตลาดโลกทั้งยุโรป และอเมริกา ภายใน5 ปี
“การแตกไลน์ผลิตภัณฑ์แฟชั่นครั้งนี้ เพื่อเสริมความครบวงจรการดำเนินธุรกิจที่เริ่มมาตั้งแต่ปี2546 ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งบริษัทฯมีฟาร์มจระเข้ย่อยในความดูแลมากกว่า1,500 ฟาร์ม ที่ลูกจระเข้ถูกเลี้ยงด้วยระบบเดี่ยวจนมีความยาว 1.80 เมตร หลังจากนั้นจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตของบริษัทฯ โดยโรงงานสามารถผลิตหนังหนังจระเข้ได้ 1พันชิ้น และอวัยวะส่วนอื่นๆ จะถูกนำเข้าสู่โรงงานผลิตด้านอื่นๆ โดยใช้งบลงทุนไปกว่า 50ล้านบาท”
ประกอบกับบริษัทฯ ยังเตรียมผลิตสินค้าแปรรูปจากหนังจระเข้เพิ่มในกลุ่ม เสื้อหนัง และของตกแต่งบ้านในอนาคตด้วย ซึ่งบริษัทฯมองเห็นโอกาสในการทำตลาดเครื่องหนังที่ผลิตและแปรรูปจากหนังจระเข้ในประเทศไทย โดยปัจจุบันยังไม่มีรายใดมีการทำตลาดและเปิดตัวแบรนด์แฟชั่นจากวัสดุจากหนังจระเข้อย่างจริงจัง
ส่วนภาพรวมตลาดแฟชั่นมีความต้องการสูงในสินค้าประเภทนี้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหม่กว่า 40% พร้อมตั้งเป้าการผลิตกระเป๋าที่ประมาณ 500-600 ต่อปีเพื่อทำตลาดในประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังมีรายการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดยตรงราว 50% คาดรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20 ล้านบาทต่อปี ส่วนมูลค่าตลาดสินกระเป๋าเครื่องหนังจระเข้ทุกเกรดอยู่ที่ประมาณ 1หมื่นใบต่อปี
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้บริษัทฯ เป็นเพียงผู้รับจ้างการผลิตหรือโออีเอ็มให้กับสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมอื่นจากต่างประเทศ โดยได้มีการแปรรูปเนื้อจระเข้เป็นสินค้าสดแช่แข็งเพื่อทำตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศต่างๆ อาทิ จีน เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างแปรรูปเลือดจากจระเข้เพื่อเป็นเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ภายใต้ชื่อ ครอกโคซีนเพื่อทำตลาดต่อไปในอนาคต
สำหรับยอดรายได้ของบริษัทฯปีที่แล้วของบริษัทฯมีกว่า 100 ล้านบาท แบ่งเป็น บริษัทสินค้า 4 กลุ่มหลัก คือ 1.แฟชั่น 2.เวชภัณฑ์ 3.อาหาร และ4.เกษตร โดยคาดยอดขายรวมสินค้ากลุ่มใหม่ภายใต้แบรนด์ดังกล่าวสิ้นปีมีเพิ่มขึ้น 10%
นายกำธร เต็มศิริพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทศรีราชา โมด้า เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯว่า ได้มีการเพิ่มไลน์การผลิตสินค้าแปรรูปจากจระเข้ไปสู่กลุ่มแฟชั่นเครื่องหนัง ภายใต้แบรนด์ “คาริสซา” ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าของคนไทย โดยคาริสซามีสินค้าด้วยกัน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กระเป๋าสตรี 2.กระเป๋าใบเล็กสำหรับใส่เงิน หรือ วอลเล็ต 3.รองเท้า และ4.เครื่องประดับหนัง ซึ่งระดับราคาสินค้าหากเป็นหนังจระเข้จะมีประมาณ 6-8 หมื่นบาท และหนังผสมระหว่างจระเข้และงู ราคา 3-4 หมื่นบาท
ทั้งนี้แบรนด์คาริสซาได้วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ไว้เป็นระดับบน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ระดับบีบวกขึ้นไปถึงระดับเอบวก ซึ่งเบื้องต้นจะทำตลาดผ่านช่องทางจำหน่ายระดับบน โดยเปิดร้านของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่เพนนินซูล่า เป็นโชว์รูมเปิดมา 3 ปี และล่าสุดเปิดคอร์เนอร์ที่ ศูนย์การค้าสยามพารากอน จากนั้นตั้งเป้า 2 ปีขยายเพิ่มอีก 4 แห่ง อาทิ เอ็มโพเรียม และเซ็นทรัล เวิลด์พลาซ่า ภายใต้งบลงทุนแห่งละ 1 ล้านบาท ต่อจากนั้นภายใน 2 ปีเล็งทำตลาดออกไปต่างประเทศ เช่น ภูมิภาคเอเชีย และเตรียมขยายสู่ตลาดโลกทั้งยุโรป และอเมริกา ภายใน5 ปี
“การแตกไลน์ผลิตภัณฑ์แฟชั่นครั้งนี้ เพื่อเสริมความครบวงจรการดำเนินธุรกิจที่เริ่มมาตั้งแต่ปี2546 ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งบริษัทฯมีฟาร์มจระเข้ย่อยในความดูแลมากกว่า1,500 ฟาร์ม ที่ลูกจระเข้ถูกเลี้ยงด้วยระบบเดี่ยวจนมีความยาว 1.80 เมตร หลังจากนั้นจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตของบริษัทฯ โดยโรงงานสามารถผลิตหนังหนังจระเข้ได้ 1พันชิ้น และอวัยวะส่วนอื่นๆ จะถูกนำเข้าสู่โรงงานผลิตด้านอื่นๆ โดยใช้งบลงทุนไปกว่า 50ล้านบาท”
ประกอบกับบริษัทฯ ยังเตรียมผลิตสินค้าแปรรูปจากหนังจระเข้เพิ่มในกลุ่ม เสื้อหนัง และของตกแต่งบ้านในอนาคตด้วย ซึ่งบริษัทฯมองเห็นโอกาสในการทำตลาดเครื่องหนังที่ผลิตและแปรรูปจากหนังจระเข้ในประเทศไทย โดยปัจจุบันยังไม่มีรายใดมีการทำตลาดและเปิดตัวแบรนด์แฟชั่นจากวัสดุจากหนังจระเข้อย่างจริงจัง
ส่วนภาพรวมตลาดแฟชั่นมีความต้องการสูงในสินค้าประเภทนี้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหม่กว่า 40% พร้อมตั้งเป้าการผลิตกระเป๋าที่ประมาณ 500-600 ต่อปีเพื่อทำตลาดในประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังมีรายการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดยตรงราว 50% คาดรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-20 ล้านบาทต่อปี ส่วนมูลค่าตลาดสินกระเป๋าเครื่องหนังจระเข้ทุกเกรดอยู่ที่ประมาณ 1หมื่นใบต่อปี
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้บริษัทฯ เป็นเพียงผู้รับจ้างการผลิตหรือโออีเอ็มให้กับสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมอื่นจากต่างประเทศ โดยได้มีการแปรรูปเนื้อจระเข้เป็นสินค้าสดแช่แข็งเพื่อทำตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศต่างๆ อาทิ จีน เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างแปรรูปเลือดจากจระเข้เพื่อเป็นเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ภายใต้ชื่อ ครอกโคซีนเพื่อทำตลาดต่อไปในอนาคต
สำหรับยอดรายได้ของบริษัทฯปีที่แล้วของบริษัทฯมีกว่า 100 ล้านบาท แบ่งเป็น บริษัทสินค้า 4 กลุ่มหลัก คือ 1.แฟชั่น 2.เวชภัณฑ์ 3.อาหาร และ4.เกษตร โดยคาดยอดขายรวมสินค้ากลุ่มใหม่ภายใต้แบรนด์ดังกล่าวสิ้นปีมีเพิ่มขึ้น 10%