รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหวังใช้กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เป็นกองทุนสำคัญที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้แก่คนวัยเกษียณอายุ จากร้อยละ 13 เป็นร้อยละ 50 ด้วยการกำหนดแนวทางให้สมาชิกจ่ายเงินสะสมและเงินสะสมแบบขั้นบันได คือ หากมีรายได้มาก จ่ายเงินสะสมมาก พร้อมยังยืนยันแนวทางตั้งคณะกรรมการระดับสูงดูแลระบบสถาบันการเงิน
นายทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้มอบหมายกระทรวงการคลังศึกษาแนวทางการเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้เกษียณอายุจากปัจจุบันกองทุนประกันสังคมจ่ายผลตอบแทนได้ประมาณร้อยละ 13 ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย โดยจะเพิ่มเป็นร้อยละ 50 ของเงินเดือนเดือนสุดท้ายเพื่อให้เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งผลตอบแทนดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้หลังการจัดตั้ง กบช. ซึ่งแนวทางการศึกษาคือ การเพิ่มการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบของสมาชิกกองทุนฯ เป็นขั้นบันได อาทิ หากมีรายได้ประมาณ 15,000 บาท จ่ายเงินสะสมร้อยละ 3 แต่หากรายได้สูงขึ้นจะจ่ายเงินสะสมมากขึ้น แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากและละเอียดอ่อนพอสมควร จึงต้องทดลองในหลายสูตร นอกจากนี้กระทรวงการคลังจะให้ผู้เกษียณอายุไปแล้ว แต่มีความสามารถทำงานได้ต่อไป แต่ไม่มีตำแหน่งบริหาร ซึ่งเริ่มทดลองแล้วในตำแหน่งผู้พิพากษาและจะขยายไปยังอาชีพครู พยาบาล และแพทย์ เพื่อให้เป็นภาระต่อกองทุนประกันสังคมน้อยลง
“ขณะนี้จุดอ่อนของกองทุนประกันสังคมคือ จ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นมาก เพราะผู้เกษียณอายุมีอายุขัยนานขึ้น ขณะที่ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานมีสัดส่วนน้อยลงเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ในอนาคต กองทุนประกันสังคมอาจจะมีปัญหาเรื่องเงินกองทุนได้” นายทนง กล่าว
รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า กระทรวงการคลังยังมีแนวคิดจะตั้งคณะกรรมการระดับสูงเพื่อดูแลระบบสถาบันการเงินทั้งหมด โดยจะมีตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต. เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อดูแลระบบสถาบันการเงินให้มั่นคง เติบโต และมีเสถียรภาพ โดยจะต้องศึกษาเรื่องของกฎหมายและความเหมาะสม รวมทั้งหาแนวทางที่รอมชอมกับ ธปท.ที่สุด
นายทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้มอบหมายกระทรวงการคลังศึกษาแนวทางการเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้เกษียณอายุจากปัจจุบันกองทุนประกันสังคมจ่ายผลตอบแทนได้ประมาณร้อยละ 13 ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย โดยจะเพิ่มเป็นร้อยละ 50 ของเงินเดือนเดือนสุดท้ายเพื่อให้เพียงพอต่อการยังชีพ ซึ่งผลตอบแทนดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้หลังการจัดตั้ง กบช. ซึ่งแนวทางการศึกษาคือ การเพิ่มการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบของสมาชิกกองทุนฯ เป็นขั้นบันได อาทิ หากมีรายได้ประมาณ 15,000 บาท จ่ายเงินสะสมร้อยละ 3 แต่หากรายได้สูงขึ้นจะจ่ายเงินสะสมมากขึ้น แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากและละเอียดอ่อนพอสมควร จึงต้องทดลองในหลายสูตร นอกจากนี้กระทรวงการคลังจะให้ผู้เกษียณอายุไปแล้ว แต่มีความสามารถทำงานได้ต่อไป แต่ไม่มีตำแหน่งบริหาร ซึ่งเริ่มทดลองแล้วในตำแหน่งผู้พิพากษาและจะขยายไปยังอาชีพครู พยาบาล และแพทย์ เพื่อให้เป็นภาระต่อกองทุนประกันสังคมน้อยลง
“ขณะนี้จุดอ่อนของกองทุนประกันสังคมคือ จ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นมาก เพราะผู้เกษียณอายุมีอายุขัยนานขึ้น ขณะที่ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานมีสัดส่วนน้อยลงเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ในอนาคต กองทุนประกันสังคมอาจจะมีปัญหาเรื่องเงินกองทุนได้” นายทนง กล่าว
รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า กระทรวงการคลังยังมีแนวคิดจะตั้งคณะกรรมการระดับสูงเพื่อดูแลระบบสถาบันการเงินทั้งหมด โดยจะมีตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต. เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อดูแลระบบสถาบันการเงินให้มั่นคง เติบโต และมีเสถียรภาพ โดยจะต้องศึกษาเรื่องของกฎหมายและความเหมาะสม รวมทั้งหาแนวทางที่รอมชอมกับ ธปท.ที่สุด