นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรให้ระมัดระวังการเกิดโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) และโรคเพิร์ธ (PRRS) เนื่องจากในระยะนี้เป็นช่วงหน้าฝน ซึ่งจะทำให้สุกรเกิดภาวะโรคดังกล่าวได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ฝนตกหนัก หรือน้ำท่วม และส่งผลกระทบต่อปริมาณเนื้อสุกรช่วงปลายปีให้ลดลง ขณะที่วัคซีนป้องกันโรคก็อยู่ในขั้นขาดแคลน
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันพบข้อมูลความเสียหายจากโรคเพิร์ธ ที่เกิดขึ้นกับลูกสุกรในเล้าอนุบาลแล้วประมาณร้อยละ 25-30 ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงปริมาณเนื้อสุกรในช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ในช่วงปลายปีจะมีปัจจัยบวกที่ก่อให้เกิดความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในอัตราที่สูงขึ้น อาทิ เทศกาลบุญบั้งไฟ งานราชพฤกษ์ งานลอยกระทง หรือเทศกาลปีใหม่ เมื่ออุปสงค์-อุปทานสวนทางกัน อาจจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนเนื้อสุกรสำหรับบริโภคในช่วงดังกล่าวได้ แม้ภาวะราคาเนื้อสุกรจะสูงขึ้นก็ตาม ดังนั้น หากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรสามารถระมัดระวังป้องกันโรคดังกล่าวได้ ก็จะเป็นประโยชน์สูงสุด
“ปลายปีนี้ราคาเนื้อหมูมีแนวโน้มสูงขึ้นจากปัจจัยบวกมากมาย แต่ถ้าหากเกษตรกรไม่ระมัดระวังป้องกันโรคดังกล่าวให้ดี ก็จะไม่สามารถผลิตเนื้อหมูออกขายได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการบริโภค ทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจ แต่หวังว่ากรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบด้านการผลิตวัคซีนป้องกันโรค กำลังเร่งผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร” นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าว
นายสุรชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้คณะกรรมการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการผลิตสุกรและผลิตภัณฑ์ ที่ผลักดันกันมาเป็นเวลากว่า 3 ปี ได้บรรลุความสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้ออกประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2549 จึงขอให้เกษตรกร ผู้ประกอบการด้านแปรรูปสุกร ผู้ประกอบการด้านโรงฆ่าสัตว์ ผู้ประกอบการด้านยาสัตว์ และผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมทั้งหมด ปฏิบัติตามข้อกฎหมายในกฤษฎีกาอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมาย และยกระดับอุตสาหกรรมสุกรเข้าสู่มาตรฐานอาหารปลอดภัย หรือ Food Safety ของประเทศไทย
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันพบข้อมูลความเสียหายจากโรคเพิร์ธ ที่เกิดขึ้นกับลูกสุกรในเล้าอนุบาลแล้วประมาณร้อยละ 25-30 ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงปริมาณเนื้อสุกรในช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ในช่วงปลายปีจะมีปัจจัยบวกที่ก่อให้เกิดความต้องการบริโภคเนื้อสุกรในอัตราที่สูงขึ้น อาทิ เทศกาลบุญบั้งไฟ งานราชพฤกษ์ งานลอยกระทง หรือเทศกาลปีใหม่ เมื่ออุปสงค์-อุปทานสวนทางกัน อาจจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนเนื้อสุกรสำหรับบริโภคในช่วงดังกล่าวได้ แม้ภาวะราคาเนื้อสุกรจะสูงขึ้นก็ตาม ดังนั้น หากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรสามารถระมัดระวังป้องกันโรคดังกล่าวได้ ก็จะเป็นประโยชน์สูงสุด
“ปลายปีนี้ราคาเนื้อหมูมีแนวโน้มสูงขึ้นจากปัจจัยบวกมากมาย แต่ถ้าหากเกษตรกรไม่ระมัดระวังป้องกันโรคดังกล่าวให้ดี ก็จะไม่สามารถผลิตเนื้อหมูออกขายได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการบริโภค ทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจ แต่หวังว่ากรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบด้านการผลิตวัคซีนป้องกันโรค กำลังเร่งผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร” นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าว
นายสุรชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้คณะกรรมการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการผลิตสุกรและผลิตภัณฑ์ ที่ผลักดันกันมาเป็นเวลากว่า 3 ปี ได้บรรลุความสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้ออกประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2549 จึงขอให้เกษตรกร ผู้ประกอบการด้านแปรรูปสุกร ผู้ประกอบการด้านโรงฆ่าสัตว์ ผู้ประกอบการด้านยาสัตว์ และผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมทั้งหมด ปฏิบัติตามข้อกฎหมายในกฤษฎีกาอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมาย และยกระดับอุตสาหกรรมสุกรเข้าสู่มาตรฐานอาหารปลอดภัย หรือ Food Safety ของประเทศไทย


