"สัจจเทพ"ตระกูลเชื้อสายภาราตะ ผู้ที่คลุกคลีกับย่านธุรกิจการค้าสำเพ็งและพาหุรัดมาร่วม 52 ปี โดยเฉพาะธุรกิจค้าผ้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีความชำนาญอย่างดีสำหรับเชื้อสายแขก หลังจากเจเนอเรชั่นที่ 1 ก่อร่างสร้างตัวมานาน นาทีนี้จึงได้ส่งมอบภารกิจมาสู่ยุคลูก "อาจิต สัจจเทพ" หรือเจเนอเรชั่นที่ 2 เข้ามาสานต่อ

“อาจิต สัจจเทพ” มีแนวคิดที่สร้างอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแววตาอันมุ่งมั่นและความพรั่งพร้อมทางด้านทุนทรัพย์ โดยปัจจุบันอาจิตอายุ 60 ปี ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงวัยเกษียณอายุแล้วสำหรับคนเชื้อสายไทย แต่สำหรับผู้ที่มีเชื้อสายแขก ยังมีหัวใจเต็มเปี่ยมในเรื่องของการทำงาน อีกทั้งยังได้มือดี อย่างบุตรชาย "อมฤต สัจจเทพ" เข้ามาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง
อาจิต สัจจเทพ ได้เล่าว่า ตระกูลของตนเองดำเนินธุรกิจค้าผ้าลูกไม้ และมีร้านค้าจำหน่ายทั้งปลีกและค้าส่งในย่านสำเพ็งและพาหุรัดมาร่วม 5-10 ปี ย่านสำเพ็งหรือที่หลายคนรู้จักกันดีว่าเป็น ธุรกิจการค้าของคนไทยเสื้อสายจีน ส่วนพาหุรัดในปัจจุบันกลายเป็นแหล่งค้าผ้านานาชนิดของคนเชื้อสายแขก จากลูกพ่อค้าที่อาศัยสั่งสมประสบการณ์การค้ามานานหลายสิบปี ทำให้มีความชำนาญและรู้ถึงการทำมาค้าขายในย่านธุรกิจนี้เป็นอย่างดี ว่าวันหนึ่งมีเงินสะพัดเป็นนับร้อยล้านบาท ประกอบกับมีผู้คนอาศัยทั้งเสื้อสายจีนและแขกร่วม 5 แสนคน
ด้วยความเป็นลูกพ่อค้า จึงมีแนวคิดที่จะทำธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเหตุนี้อาจิต จึงได้ตั้งจัดบริษัท อินเดีย เอ็มโพเรี่ยม (พาหุรัด) จำกัด เมื่อต้นปี 2548 ด้วยทุนจดทะเบียนร่วม 150 ล้านบาท โดยตนเองดำรงตำแหน่งในฐานะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเดีย เอ็มโพเรี่ยม (พาหุรัด) จำกัด พร้อมกันนี้ได้ทุ่มงบ 1,200 ล้านบาท เปิดศูนย์การค้าสไตล์อินเดียแห่งแรกในประเทศไทย มิติใหม่ของการชอปปิ้งใจกลางย่านสำเพ็ง – พาหุรัด ซึ่งเป็นของตระกูลสัจจเทพ 100% เต็ม โดยเริ่มต้นโครงการในเดือนกันยายน 2549 และเริ่มเปิดดำเนินการเดือน พฤศจิกายน 2550
นายอาจิต เล่าว่า ย่านสำเพ็งและพาหุรัด มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นแหล่งรวมเสื้อผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับมาช้านาน อีกทั้งยังเป็นถิ่นอาศัยของชาวอินเดียที่ทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จึงอยากให้ประสบการณ์การจับจ่ายเป็นไปอย่างมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำที่อื่นๆ ซึ่งศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรี่ยม มีการออกแบบที่ทันสมัย ผสมผสานกลิ่นอายแบบอินเดียจึงเข้ากับบรรยากาศในพื้นที่ จึงช่วยสร้างสีสันใหม่ๆ ในการชอปปิ้งได้เป็นอย่างดี โดยมั่นใจว่าหลังสร้างเสร็จจะมีคนหมุนเวียนเข้าศูนย์ฯ 1 หมื่นคนต่อวัน
“แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้จะไม่ค่อยดีมากนัก แต่ทำไมเราจึงกล้าที่จะสร้างศูนย์การค้าในช่วงนี้ เพราะมองว่าย่านสำเพ็งและพาหุรัดซึ่งเป็นแหล่งธุรกิจของคนกลาง ซื้อมาแล้วขายไปเป็นธุรกิจที่ไม่เคยได้รับผลกระทบเลย จากการทำธุรกิจในย่านนี้มากว่า 52 ปี ทั้งร้านค้าหรือกระทั่งที่ดินมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากที่ดินที่เราซื้อจากห้างเอทีเอ็มเก่าเมื่อปี 2547 หลังจากที่เกิดไฟไหม้ไปมีมูลค่า 400 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมูลค่าที่เพิ่มเป็น 550 ล้านบาท”
นอกจากธุรกิจศูนย์การค้าที่รุ่นเจเนอเรชั่น 2 ต่อยอดจากเจเนอเรชั่นที่ 1 แล้ว อาจิตยังวาดฝันต่อยอดจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินการโครงการเอส เอ็ม แกรนด์ เรสซิเด้นส์ จำนวน 105 ยูนิตในย่านสุขุมวิท โดยแผนในช่วง 3-5 ปีนี้ได้เตรียมดำเนินการโครงการใหม่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตระกูลสัจจเทพทางด้านการเงินได้เป็นอย่างดี
ล่าสุดตระกูลสัจจเทพ ได้วางแนวทางถึงขนาดเป็นเจ้าของกิจการโรงแรม ด้วยการทุ่มงบนับพันล้านกว้านซื้อกิจการโรงแรมในย่านใจกลางเมืองอย่างเพชรบุรีและสุขุมวิท โดยจะเป็นลักษณะของการร่วมทุนมากกว่า หลังจากซื้อกิจการโรงแรมได้เตรียมนำเชนที่มีชื่อเสียงเข้ามาบริหารโรงแรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโรงแรม
จากต้นตระกูลที่ดำเนินธุรกิจค้าขายมาสู่เจเนอชั่นที่สองของ "สัจจเทพ" การแตกไลน์ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากคอนโดมิเนียมเอสเอ็ม แกรนด์ เรสซิเด้นส์ มาสู่ศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรี่ยม และโครงการในอนาคตเจ้าของกิจการโรงแรม และการผุดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างมากสำหรับตระกูลสัจจเทพในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ
“อาจิต สัจจเทพ” มีแนวคิดที่สร้างอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแววตาอันมุ่งมั่นและความพรั่งพร้อมทางด้านทุนทรัพย์ โดยปัจจุบันอาจิตอายุ 60 ปี ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงวัยเกษียณอายุแล้วสำหรับคนเชื้อสายไทย แต่สำหรับผู้ที่มีเชื้อสายแขก ยังมีหัวใจเต็มเปี่ยมในเรื่องของการทำงาน อีกทั้งยังได้มือดี อย่างบุตรชาย "อมฤต สัจจเทพ" เข้ามาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง
อาจิต สัจจเทพ ได้เล่าว่า ตระกูลของตนเองดำเนินธุรกิจค้าผ้าลูกไม้ และมีร้านค้าจำหน่ายทั้งปลีกและค้าส่งในย่านสำเพ็งและพาหุรัดมาร่วม 5-10 ปี ย่านสำเพ็งหรือที่หลายคนรู้จักกันดีว่าเป็น ธุรกิจการค้าของคนไทยเสื้อสายจีน ส่วนพาหุรัดในปัจจุบันกลายเป็นแหล่งค้าผ้านานาชนิดของคนเชื้อสายแขก จากลูกพ่อค้าที่อาศัยสั่งสมประสบการณ์การค้ามานานหลายสิบปี ทำให้มีความชำนาญและรู้ถึงการทำมาค้าขายในย่านธุรกิจนี้เป็นอย่างดี ว่าวันหนึ่งมีเงินสะพัดเป็นนับร้อยล้านบาท ประกอบกับมีผู้คนอาศัยทั้งเสื้อสายจีนและแขกร่วม 5 แสนคน
ด้วยความเป็นลูกพ่อค้า จึงมีแนวคิดที่จะทำธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเหตุนี้อาจิต จึงได้ตั้งจัดบริษัท อินเดีย เอ็มโพเรี่ยม (พาหุรัด) จำกัด เมื่อต้นปี 2548 ด้วยทุนจดทะเบียนร่วม 150 ล้านบาท โดยตนเองดำรงตำแหน่งในฐานะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเดีย เอ็มโพเรี่ยม (พาหุรัด) จำกัด พร้อมกันนี้ได้ทุ่มงบ 1,200 ล้านบาท เปิดศูนย์การค้าสไตล์อินเดียแห่งแรกในประเทศไทย มิติใหม่ของการชอปปิ้งใจกลางย่านสำเพ็ง – พาหุรัด ซึ่งเป็นของตระกูลสัจจเทพ 100% เต็ม โดยเริ่มต้นโครงการในเดือนกันยายน 2549 และเริ่มเปิดดำเนินการเดือน พฤศจิกายน 2550
นายอาจิต เล่าว่า ย่านสำเพ็งและพาหุรัด มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นแหล่งรวมเสื้อผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับมาช้านาน อีกทั้งยังเป็นถิ่นอาศัยของชาวอินเดียที่ทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จึงอยากให้ประสบการณ์การจับจ่ายเป็นไปอย่างมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำที่อื่นๆ ซึ่งศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรี่ยม มีการออกแบบที่ทันสมัย ผสมผสานกลิ่นอายแบบอินเดียจึงเข้ากับบรรยากาศในพื้นที่ จึงช่วยสร้างสีสันใหม่ๆ ในการชอปปิ้งได้เป็นอย่างดี โดยมั่นใจว่าหลังสร้างเสร็จจะมีคนหมุนเวียนเข้าศูนย์ฯ 1 หมื่นคนต่อวัน
“แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้จะไม่ค่อยดีมากนัก แต่ทำไมเราจึงกล้าที่จะสร้างศูนย์การค้าในช่วงนี้ เพราะมองว่าย่านสำเพ็งและพาหุรัดซึ่งเป็นแหล่งธุรกิจของคนกลาง ซื้อมาแล้วขายไปเป็นธุรกิจที่ไม่เคยได้รับผลกระทบเลย จากการทำธุรกิจในย่านนี้มากว่า 52 ปี ทั้งร้านค้าหรือกระทั่งที่ดินมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากที่ดินที่เราซื้อจากห้างเอทีเอ็มเก่าเมื่อปี 2547 หลังจากที่เกิดไฟไหม้ไปมีมูลค่า 400 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมูลค่าที่เพิ่มเป็น 550 ล้านบาท”
นอกจากธุรกิจศูนย์การค้าที่รุ่นเจเนอเรชั่น 2 ต่อยอดจากเจเนอเรชั่นที่ 1 แล้ว อาจิตยังวาดฝันต่อยอดจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินการโครงการเอส เอ็ม แกรนด์ เรสซิเด้นส์ จำนวน 105 ยูนิตในย่านสุขุมวิท โดยแผนในช่วง 3-5 ปีนี้ได้เตรียมดำเนินการโครงการใหม่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตระกูลสัจจเทพทางด้านการเงินได้เป็นอย่างดี
ล่าสุดตระกูลสัจจเทพ ได้วางแนวทางถึงขนาดเป็นเจ้าของกิจการโรงแรม ด้วยการทุ่มงบนับพันล้านกว้านซื้อกิจการโรงแรมในย่านใจกลางเมืองอย่างเพชรบุรีและสุขุมวิท โดยจะเป็นลักษณะของการร่วมทุนมากกว่า หลังจากซื้อกิจการโรงแรมได้เตรียมนำเชนที่มีชื่อเสียงเข้ามาบริหารโรงแรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโรงแรม
จากต้นตระกูลที่ดำเนินธุรกิจค้าขายมาสู่เจเนอชั่นที่สองของ "สัจจเทพ" การแตกไลน์ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากคอนโดมิเนียมเอสเอ็ม แกรนด์ เรสซิเด้นส์ มาสู่ศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรี่ยม และโครงการในอนาคตเจ้าของกิจการโรงแรม และการผุดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ คงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างมากสำหรับตระกูลสัจจเทพในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ