ตระกูล ”สัจจเทพ” แตกธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์เต็มรูปแบบ ทุ่ม 2.2 พันล้านบาท ผุดธุรกิจโรงแรม ธุรกิจค้าส่ง-ปลีก นำร่องเท 1.2 พันล้าน เปิดตัวศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรี่ยม ย่านพาหุรัด-สำเพ็ง หลังพบค้าส่งและปลีกดีมานด์มีมากกว่าซัปพลาย ปีแรกหวังโกยรายได้ 800 ล้านบาท คาดภายใน 2 ปีคุ้มทุน แย้มแผน 3-5 ปี ต่อยอดโครงการคอนโดมิเนียม
นายอาจิต สัจจเทพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเดีย เอ็มโพเรี่ยม (พาหุรัด) จำกัด เจ้าของธุรกิจโครงการศูนย์การค้า อินเดีย เอ็มโพเรี่ยม เปิดเผยว่า จากการที่ตระกูล”สัจจเทพ”ดำเนินธุรกิจในย่านสำเพ็งและพาหุรัดมานานกว่า 52 ปี และเป็นเจ้าของโรงงานผ้าปักลูกไม้ จึงวางแผนแตกไลน์ธุรกิจสู่อสังหาริมทรัพย์ 3 รูปแบบ ได้แก่ ธุรกิจแรก ค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจที่ 2 ต่อยอดจากธุรกิจคอนโด ”เอส เอ็ม แกรนด์ เรสซิเด้นส์” จากการดำเนินการมา 2 ปี ในย่านสุขุมวิท โดยวางแผนเปิดโครงการในระยะ 3-5 ปีนี้ และธุรกิจสุดท้าย คือ เจ้าของโรงแรม โดยมีแผนซื้อกิจการโรงแรมที่มีอยู่แล้วนำเชนที่ได้รับการยอมรับเข้าไปบริหาร ขนาดโรงแรมที่สนใจคือประมาณ 300 ห้อง บนย่านถนนเพชรบุรีและถนนสุขุมวิท
ขณะนี้บริษัทฯได้ตัดสินใจนำร่อง 2 โครงการใหม่ รวมมูลค่าการลงทุน 2,200 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจโรงแรมด้วยการทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯจะดึงพันธมิตรมาร่วมทุนมากกว่าการลงทุนเองทั้งหมด ส่วนธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ทุ่มงบ 1,200 ล้านบาท ผุดโครงการศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรี่ยม ในย่านพาหุรัดหรือห้างเอทีเอ็มเก่า ภายใต้คอนเซปต์ศูนย์การค้าสไตล์อินเดียแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นการลงทุนของบริษัทฯเอง 100% โดยเงินลงทุนแบ่งเป็น กระแสเงินสดของบริษัท 50% และสินเชื่อจากธนาคาร 50% สำหรับบริษัท อินเดีย เอ็มโพเรียม (พาหุรัด) จำกัด มีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท
โครงการศูนย์การค้าอินเดีย เอ็มโพเรี่ยม บนพื้นที่ดิน 2 ไร่ 25 ตร.ม. เป็นอาคาร 4 ชั้น มีพื้นที่เช่ามากกว่า 4,000 ตร.ม. แบ่งออกเป็น 6 โซน ได้แก่ โซนเอ ศูนย์รวมแฟชั่น เสื้อผ้า โซนบี เครื่องประดับสตรี โซนซี ศูนย์รวมผ้า โซนดี กิ๊ปชอป และโซนอี ร้านอาหารและศูนย์อาหาร โซนเอฟ ร้านค้าอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมแล้วมีร้านค้ามากกว่า 300 แห่ง โดยจะเริ่มต้นโครงการในเดือนกันยายน 2549 และเริ่มเปิดดำเนินการเดือนพฤศจิกายน 2550
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการ 2-3 ราย เพื่อเปิดซูเปอร์มารเก็ตภายในศูนย์การค้าแห่งนี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ สำหรับย่านค้าปลีกและค้าส่งในย่านสำเพ็งและพาหุรัด ถือว่าเป็นย่านธุรกิจที่มีศักยภาพ โดยในแต่ละวันมีการซื้อขายสินค้าเงินสะพัดเป็นร้อยล้านบาท และเป็นแหล่งชุมชนมีผู้อยู่อาศัยกว่า 5 แสนคน อีกทั้งยังเป็นทำเลทองในแต่ละปีมูลค่าของที่ดินจะเพิ่มขึ้น โดยหลังจากที่บริษัทฯซื้อที่ดินจากเมื่อปี 2547 400 ล้านบาท ปัจจุบันมูลค่าเพิ่มเป็น 550 ล้านบาท
นายอาจิต กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกเซกเมนต์ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซึ่งปัจจุบันมีผู้เล่นรายหลัก กลุ่มเซ็นทรัล และกลุ่มเดอะมอลล์ ,ไฮเปอร์มาร์เก็ต,สเปเชียลตี้สโตร์ และซูเปอร์มาร์เก็ต และคาดว่าจากนี้ธุรกิจก็ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกในประเทศไทย เป็นหนึ่งในธุรกิจค้าปลีกที่น่าจับตามอง เนื่องจากปัจจุบันซัปพลายยังมีน้อยกว่าดีมานต์ หรือเจ้าธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด โดยมีเพียง 3 ย่านดังเท่านั้น ได้แก่ ย่านประตู โบ๊เบ๊ และพาหุรัด สำเพ็ง เนื่องจากข้อจำกัดของการขึ้นโครงการ อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นธุรกิจที่ซื้อมาขายไปหรือเป็นคนกลาง
แผนการตลาดบริษัทฯจะวางราคาจำหน่ายสินค้าภายในศูนย์การค้าใกล้เคียงกับผู้ประกอบการนอกศูนย์ แต่ชูจุดเด่นการเป็นศูนย์การค้าครบวงจร (One Stop Shopping) วางกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มร้านค้าปลีกและค้าส่งในย่านสำเพ็งและพาหุรัด ที่ต้องการจะขยายกิจการ รวมทั้งกลุ่มร้านค้าทั้งปลีกและส่งย่านโบ๊เบ๊ ประตู ในขณะที่กลุ่มเป้าหมายอีกกลุ่ม คือ ผู้บริโภคที่นิยมจับจ่ายใช้สอยในย่านสำเพ็งและพาหุรัด
ล่าสุดได้เตรียมจัดกิจกรรมการตลาด ตั้งแต่วันที่ 1-15 กันยายน นี้ ตามแหล่งค้าปลีกและค้าส่ง ทั้งในย่านสำเพ็ง พาหุรัด เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจของการเปิดตัวโครงการ โดยบริษัทจะเปิดให้ผู้ประกอบการที่สนใจจองพื้นที่ในวันที่ 15-17 กันยายน นี้ ทั้งนี้คาดว่าในช่วง 3 วันนี้จะมีผู้สนใจจับจองพื้นที่ 80% ของพื้นที่ทั้งหมด และหลังจากที่ศูนย์การค้าเปิดดำเนินการคาดว่าจะมีคนหมุนเวียนเข้าศูนย์ 1 หมื่นคน โดยปีแรกตั้งเป้ามีรายได้ 800 ล้านบาท ส่วน 2 ปีถึงจุดคุ้มทุน
