รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมั่นใจเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5 แต่ปีหน้าอาจจะโตแค่ร้อยละ 3.75-4 เนื่องจากภาคเอกชนลงทุนลดลง ขณะที่ค่าเงินบาทไม่น่าห่วง หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปแทรกแซง

นายทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มลดลง ทำให้กระทรวงการคลังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 4.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แต่เป็นห่วงเศรษฐกิจปีหน้าที่ปัจจุบันภาคเอกชนลงทุนลดลงจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก โดยคาดว่าปีหน้าจะมีการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.75-4 ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นอีกเล็กน้อย โดยประมาณการว่าต้นปีหน้าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจุบันอยู่ที่ 37.50-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
“ค่าเงินบาทตอนนี้ไม่น่าห่วง เพราะ ธปท.ระมัดระวังไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจะกระทบต่อผู้ส่งออก ธปท.จึงเข้าแทรกแซงระยะสั้น ๆ เพื่อชะลอการแข็งค่าของค่าเงินบาท แต่เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้วกลไกของเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าและออกกับการส่งออกและการนำเข้าก็จะสมดุล ทำให้เงินบาทที่แข็งขึ้นในช่วงนี้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้อยมาก เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็อยู่ในระดับเดียวกับภูมิภาคนี้ ยอดส่งออกเดือนที่แล้วจึงทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายทนง กล่าว
นายทนง กล่าวว่า ความเห็นส่วนค่าเงินบาทไม่ควรแข็งค่าขึ้นมากเกินร้อยละ 3-5 ในแต่ละปี เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง จึงไม่แปลกใจที่ ธปท.จะควบคุมการขึ้นลงของค่าเงินบาทในระยะสั้น ๆ แต่ในระยะยาวถ้าแข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลงต้องแบบไต่ระดับเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศ
นายทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มลดลง ทำให้กระทรวงการคลังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 4.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แต่เป็นห่วงเศรษฐกิจปีหน้าที่ปัจจุบันภาคเอกชนลงทุนลดลงจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก โดยคาดว่าปีหน้าจะมีการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 3.75-4 ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นอีกเล็กน้อย โดยประมาณการว่าต้นปีหน้าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 37.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจุบันอยู่ที่ 37.50-38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
“ค่าเงินบาทตอนนี้ไม่น่าห่วง เพราะ ธปท.ระมัดระวังไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจะกระทบต่อผู้ส่งออก ธปท.จึงเข้าแทรกแซงระยะสั้น ๆ เพื่อชะลอการแข็งค่าของค่าเงินบาท แต่เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้วกลไกของเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าและออกกับการส่งออกและการนำเข้าก็จะสมดุล ทำให้เงินบาทที่แข็งขึ้นในช่วงนี้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้อยมาก เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็อยู่ในระดับเดียวกับภูมิภาคนี้ ยอดส่งออกเดือนที่แล้วจึงทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายทนง กล่าว
นายทนง กล่าวว่า ความเห็นส่วนค่าเงินบาทไม่ควรแข็งค่าขึ้นมากเกินร้อยละ 3-5 ในแต่ละปี เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง จึงไม่แปลกใจที่ ธปท.จะควบคุมการขึ้นลงของค่าเงินบาทในระยะสั้น ๆ แต่ในระยะยาวถ้าแข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลงต้องแบบไต่ระดับเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศ