ก.เจริญทอยส์พร้อมรบตลาดของเล่นเด็ก หลังต้องชะลอเกมรุกรอให้ดีลยักษ์ ทาการะ-โทมี่ ของญี่ปุ่น ควบรวมกิจการสำเร็จก่อนเมื่อต้นปี เผยผลดีจะมีสินค้าที่มากขึ้น ขยายฐานกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น เตรียมนำเข้าสินค้าใหม่ๆรุกตลาดครึ่งปีหลัง
นางสาวชัชศรี กิจเลิศไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ก.เจริญ ทอยส์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายของเล่นเด็กรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯพร้อมที่จะกลับมารุกทำตลาดของเล่นเด็กอีกครั้งหลังจากที่ได้ชะลอการทำตลาดในเชิงรุกไปก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งเมื่อช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากว่า ต้องรอให้การควบรวมกิจการของยักษ์ใหญ่สองบริษัทของเล่นเด็กจากญี่ปุ่นคือ “ทาการะ” และ “โตมี่” ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน เพื่อรอนโยบายจากบริษัทเจ้าของสินค้า ซึ่งขณะนี้แผนการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ชื่อว่า “ทาการะ-โตมี่”
บริษัทฯมีความมั่นใจว่า แผนการรุกตลาดจากนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในแง่ของทิศทาง ตัวผลิตภัณฑ์ และแผนการนำเข้าสินค้า โดยยังคงยึดตามนโยบายเดิมที่มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ การทำกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดเวลา ในหลายรูปแบบ ส่วนจุดจำหน่ายสินค้าจะยังคงเน้นช่องทางโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก และห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆขณะเดียวกัน การทำตลาดจากนี้จะมีศักยภาพมากขึ้นด้วย เนื่องจากจะมีสินค้าของทั้งสองบริษัทนี้เข้ามามากขึ้น จากเดิมที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯจะมีสินค้าของเล่นเด็กทำตลาดในไทยภายใต้แบรนด์ของโตมี่ มากกว่า 70%
ทั้งนี้จะทำให้บริษัทฯสามารถรุกตลาดได้ในวงกว้าง และมีความได้เปรียบกว่าบริษัทคู่แข่งรายอื่นมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทฯมีสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศรวมทั้งสิ้นมากกว่า 10,000 รายการ จาก แบรนด์หลักๆที่ประกอบด้วย ไวด์แพลเน็ต (Wild Planet), ซิซเซิล (Zizzle), ทาการะ-โตมี่ (Takara-Tomy) ดังนั้นในปีนี้จึงตั้งเป้าหมายรายได้ที่จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากผลประกอบการปีที่แล้วที่มีรายได้กว่า 300 ล้านบาท อันเนื่องมาจาก การที่จะมีสินค้ามากขึ้นในการทำตลาดนั่นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ๆที่ไม่ใช่ของเล่นเด็ก แบรนด์ ทาการะ-โตมี่ ที่จะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากเดิมที่สินค้าของโตมี่ที่นำเข้ามาจะเป็นของเล่นเด็กจับกลุ่มเป้าหมายเด็กเท่านั้น ซึ่งสินค้าใหม่นี้จะเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสเตชั่นเนอรี่เช่น ปากกา สมุด ดินสอ หรือของใช้ เช่น แก้วน้ำ หมอน ถังน้ำ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังเตรียมทำตลาดของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็นของเล่นที่เหมาะกับการคลายเครียด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นซึ่งประชาชนมีความเครียดมากในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ซาวด์เพ็ท ตุ๊กตาดิสนียท์ที่สามารถต่อเชื่อมกับเครื่องเล่นเพลงไฟล์ดิจิตอล ไม่วาจะเป็นไอพอดหรือเอ็มพี3 หรือตุ๊กตาที่ชื่อว่า โนโฮฮอง ซึ่งสามารถขยับเขยื้อนได้โดยใช้พลังงานโซล่าร์เซล และจะมีการเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ชื่อว่า “ลูกสาวหมอดู” ราคาประมาณ 850 บาท
สำหรับภาวาดรวมของเล่นเด็กเฉพาะที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 40% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกนี้ตลาดรวมมีการเติบโตที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากว่า ปัญหากำลังซื้อที่ถดถอยลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ราคาน้ำมันขยับตัวสูงขึ้นและ ปัญหาการเมือง
นางสาวชัชศรี กิจเลิศไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ก.เจริญ ทอยส์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายของเล่นเด็กรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯพร้อมที่จะกลับมารุกทำตลาดของเล่นเด็กอีกครั้งหลังจากที่ได้ชะลอการทำตลาดในเชิงรุกไปก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งเมื่อช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากว่า ต้องรอให้การควบรวมกิจการของยักษ์ใหญ่สองบริษัทของเล่นเด็กจากญี่ปุ่นคือ “ทาการะ” และ “โตมี่” ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน เพื่อรอนโยบายจากบริษัทเจ้าของสินค้า ซึ่งขณะนี้แผนการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ชื่อว่า “ทาการะ-โตมี่”
บริษัทฯมีความมั่นใจว่า แผนการรุกตลาดจากนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในแง่ของทิศทาง ตัวผลิตภัณฑ์ และแผนการนำเข้าสินค้า โดยยังคงยึดตามนโยบายเดิมที่มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ การทำกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดเวลา ในหลายรูปแบบ ส่วนจุดจำหน่ายสินค้าจะยังคงเน้นช่องทางโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก และห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆขณะเดียวกัน การทำตลาดจากนี้จะมีศักยภาพมากขึ้นด้วย เนื่องจากจะมีสินค้าของทั้งสองบริษัทนี้เข้ามามากขึ้น จากเดิมที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯจะมีสินค้าของเล่นเด็กทำตลาดในไทยภายใต้แบรนด์ของโตมี่ มากกว่า 70%
ทั้งนี้จะทำให้บริษัทฯสามารถรุกตลาดได้ในวงกว้าง และมีความได้เปรียบกว่าบริษัทคู่แข่งรายอื่นมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทฯมีสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศรวมทั้งสิ้นมากกว่า 10,000 รายการ จาก แบรนด์หลักๆที่ประกอบด้วย ไวด์แพลเน็ต (Wild Planet), ซิซเซิล (Zizzle), ทาการะ-โตมี่ (Takara-Tomy) ดังนั้นในปีนี้จึงตั้งเป้าหมายรายได้ที่จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากผลประกอบการปีที่แล้วที่มีรายได้กว่า 300 ล้านบาท อันเนื่องมาจาก การที่จะมีสินค้ามากขึ้นในการทำตลาดนั่นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ๆที่ไม่ใช่ของเล่นเด็ก แบรนด์ ทาการะ-โตมี่ ที่จะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากเดิมที่สินค้าของโตมี่ที่นำเข้ามาจะเป็นของเล่นเด็กจับกลุ่มเป้าหมายเด็กเท่านั้น ซึ่งสินค้าใหม่นี้จะเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสเตชั่นเนอรี่เช่น ปากกา สมุด ดินสอ หรือของใช้ เช่น แก้วน้ำ หมอน ถังน้ำ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังเตรียมทำตลาดของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็นของเล่นที่เหมาะกับการคลายเครียด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นซึ่งประชาชนมีความเครียดมากในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ซาวด์เพ็ท ตุ๊กตาดิสนียท์ที่สามารถต่อเชื่อมกับเครื่องเล่นเพลงไฟล์ดิจิตอล ไม่วาจะเป็นไอพอดหรือเอ็มพี3 หรือตุ๊กตาที่ชื่อว่า โนโฮฮอง ซึ่งสามารถขยับเขยื้อนได้โดยใช้พลังงานโซล่าร์เซล และจะมีการเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ชื่อว่า “ลูกสาวหมอดู” ราคาประมาณ 850 บาท
สำหรับภาวาดรวมของเล่นเด็กเฉพาะที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 40% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกนี้ตลาดรวมมีการเติบโตที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากว่า ปัญหากำลังซื้อที่ถดถอยลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ราคาน้ำมันขยับตัวสูงขึ้นและ ปัญหาการเมือง