ศรีทองพาณิชย์เล็งปรับภาพลักษณ์นาฬิกามิโดไปสู่คนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยลง เหตุเพราะไม่อยากให้มิโดตายไปพร้อมคนรุ่นเก่า เตรียมเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดส่งรุ่น “บารอนเชลลี่” ชิมรางตลาด พบ 2 สัปดาห์ยอดขายมีสูงกว่า 1 พันเรือนเชื่อเป็นตัวเอกของมิโดในปีนี้ เผยยอดขาย 7 เดือนแรกของศรีทองฯต่ำกว่าเป้า 5% เร่งเครื่องช่วงปลายปีหนักหวังดันยอดขายสิ้นปีโต 10%
นางวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีทองพาณิชย์ ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกานำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ มิโด,ราโด ,ซิติเซน และแฮมมิลตัน ฯลฯ เปิดเผยว่า แผนการทำตลาดของนาฬิกามิโดในประเทศไทยต่อจากนี้ไปทางศรีทองฯจะเน้นทำตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อยลงหรือคนที่มีอายุ 25-50 ปี เนื่องจากกลุ่มนี้ที่มีกำลังซื้อนาฬิกาที่ดีและไม่ต้องการให้นาฬิกามิโดตายไปพร้อมกับลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป
ปัจจุบันฐานลูกค้าของมิโดมีกว่า 70,000 รายหรือประมาณปีละ 12,000 ราย ขณะที่ช่องทางการขายนาฬิกามิโดในปัจจุบันมีขายผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์กว่า 350 รายทั่วประเทศ
“ภาพรวมตลาดนาฬิกาในประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตดีและเป็นตลาดใหญ่ของนาฬิกามิโด อีกทั้งแบรนด์เป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วแต่ทางศรีทองฯเพิ่งมาทำตลาดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ดังนั้นทางศรีทองฯจึงเตรียมเปิดตัวนาฬิกามิโดในคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดศรีทองฯได้เปิดตัวนาฬิกามิโดรุ่น “บารอนเชลลี่(Baroncelli)” ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว พบว่าได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภคโดยมียอดขายนาฬิการุ่นนี้ไปกว่า 1,000 เรือนแล้ว”
สำหรับคอลเลคชั่นนาฬิการุ่นบารอนเชลลี่เป็นนาฬิกาที่มีดีไซน์เรียบง่ายแต่สวยงาม ,หรูหรา และมีเอกลักษณ์ เช่น ช่องแสดงวันที่ถูกวางที่ตำแหน่งตัวเลข 4 นาฬิกา และมีระบบ กันน้ำอะควาดูร่าที่สามารถกันน้ำได้ 50 เมตร เป็นต้น โดยนาฬิการุ่นนี้มีให้เลือก 7 แบบ ราคาขายอยู่ที่ 27,900 บาท
ในส่วนยอดขายของศรีทองพาณิชย์ในช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านพบว่าต่ำกว่าเป้า 5% เนื่องจากตลาดได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในเขตต่างจังหวัด แต่ทางศรีทองฯมั่นใจว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะสามารถผลักดันยอดขายปีนี้ให้ถึงเป้าหรือมีอัตราการเติบโตขึ้น10% ได้อย่างแน่นอน จากการเข้าร่วมงานแฟร์นาฬิกาหลายงาน อาทิ งานของเซ็นทรัล ชิดลมและเดอะมอลล์ เป็นต้น รวมถึงการเปิดตัวสินค้าหรือคอลเลคชั่นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง
สำหรับสัดส่วนยอดขายนาฬิกาของศรีทองฯในปัจจุบัน แบ่งเป็น แบรนด์ซิติเซน คิดเป็น 45% รองมาเป็นมิโด40% และที่เหลือเป็นแบรนด์อื่นๆ เช่น บอลล์,แฮมมิลตัน และแฮนฮาร์ดที่เพิ่งเข้ามาทำตลาด 2 สัปดาห์
ภาพรวมการแข่งขันของตลาดนาฬิกาในปีนี้พบว่ายังมีการแข่งขันที่สูงอยู่ เห็นได้งานวอชท์แฟร์ที่มีการเปิดตัวนาฬิกาแบรนด์ใหม่ๆเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีหลายแบรนด์ที่หายไปจากตลาดมากเช่นกัน เนื่องจากบริษัทที่นำเข้านาฬิกานั้นๆมีการทำตลาดที่ไม่ดี เป็นต้น
ตลาดรวมนาฬิกาในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าตลาดจะเติบโตอยู่ที่ 5-10% โดยปัจจุบันศรีทองฯเป็นผู้นำตลาดกลุ่มระดับกลาง ตลาดออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบนมีสัดส่วน 30% ระดับกลาง 50% และล่าง 20%
นางวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีทองพาณิชย์ ผู้แทนจำหน่ายนาฬิกานำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ มิโด,ราโด ,ซิติเซน และแฮมมิลตัน ฯลฯ เปิดเผยว่า แผนการทำตลาดของนาฬิกามิโดในประเทศไทยต่อจากนี้ไปทางศรีทองฯจะเน้นทำตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีอายุน้อยลงหรือคนที่มีอายุ 25-50 ปี เนื่องจากกลุ่มนี้ที่มีกำลังซื้อนาฬิกาที่ดีและไม่ต้องการให้นาฬิกามิโดตายไปพร้อมกับลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป
ปัจจุบันฐานลูกค้าของมิโดมีกว่า 70,000 รายหรือประมาณปีละ 12,000 ราย ขณะที่ช่องทางการขายนาฬิกามิโดในปัจจุบันมีขายผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์กว่า 350 รายทั่วประเทศ
“ภาพรวมตลาดนาฬิกาในประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตดีและเป็นตลาดใหญ่ของนาฬิกามิโด อีกทั้งแบรนด์เป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วแต่ทางศรีทองฯเพิ่งมาทำตลาดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ดังนั้นทางศรีทองฯจึงเตรียมเปิดตัวนาฬิกามิโดในคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดศรีทองฯได้เปิดตัวนาฬิกามิโดรุ่น “บารอนเชลลี่(Baroncelli)” ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว พบว่าได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภคโดยมียอดขายนาฬิการุ่นนี้ไปกว่า 1,000 เรือนแล้ว”
สำหรับคอลเลคชั่นนาฬิการุ่นบารอนเชลลี่เป็นนาฬิกาที่มีดีไซน์เรียบง่ายแต่สวยงาม ,หรูหรา และมีเอกลักษณ์ เช่น ช่องแสดงวันที่ถูกวางที่ตำแหน่งตัวเลข 4 นาฬิกา และมีระบบ กันน้ำอะควาดูร่าที่สามารถกันน้ำได้ 50 เมตร เป็นต้น โดยนาฬิการุ่นนี้มีให้เลือก 7 แบบ ราคาขายอยู่ที่ 27,900 บาท
ในส่วนยอดขายของศรีทองพาณิชย์ในช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านพบว่าต่ำกว่าเป้า 5% เนื่องจากตลาดได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในเขตต่างจังหวัด แต่ทางศรีทองฯมั่นใจว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะสามารถผลักดันยอดขายปีนี้ให้ถึงเป้าหรือมีอัตราการเติบโตขึ้น10% ได้อย่างแน่นอน จากการเข้าร่วมงานแฟร์นาฬิกาหลายงาน อาทิ งานของเซ็นทรัล ชิดลมและเดอะมอลล์ เป็นต้น รวมถึงการเปิดตัวสินค้าหรือคอลเลคชั่นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง
สำหรับสัดส่วนยอดขายนาฬิกาของศรีทองฯในปัจจุบัน แบ่งเป็น แบรนด์ซิติเซน คิดเป็น 45% รองมาเป็นมิโด40% และที่เหลือเป็นแบรนด์อื่นๆ เช่น บอลล์,แฮมมิลตัน และแฮนฮาร์ดที่เพิ่งเข้ามาทำตลาด 2 สัปดาห์
ภาพรวมการแข่งขันของตลาดนาฬิกาในปีนี้พบว่ายังมีการแข่งขันที่สูงอยู่ เห็นได้งานวอชท์แฟร์ที่มีการเปิดตัวนาฬิกาแบรนด์ใหม่ๆเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีหลายแบรนด์ที่หายไปจากตลาดมากเช่นกัน เนื่องจากบริษัทที่นำเข้านาฬิกานั้นๆมีการทำตลาดที่ไม่ดี เป็นต้น
ตลาดรวมนาฬิกาในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าตลาดจะเติบโตอยู่ที่ 5-10% โดยปัจจุบันศรีทองฯเป็นผู้นำตลาดกลุ่มระดับกลาง ตลาดออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบนมีสัดส่วน 30% ระดับกลาง 50% และล่าง 20%