“มิ่งขวัญ”นอนมาตามโผเกาะเก้าอี้ ผู้อำนวยการใหญ่ อสมท.อีกวาระตามคาด หลังสนองนโยบายการใช้สื่อทีวี-วิทยุเชลียร์รัฐบาลจนเข้าตา ส่งผอ.อสมท. สานต่อนโยบายด้วยการนำเสนอผลงานรัฐบาลอีกรอบช่วงการเลือกตั้ง แฉผลงานโครงการทีวีแห่งชาติส่อเค้าล้มไม่เป็นท่า แต่กรรมการสรรหาทำมึนรับลูกเหมาะสมเพื่อสานต่อโครงการแต่ที่แท้ก็เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลนั่นเอง
นายธงทอง จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท เปิดเผยถึง ผลการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท คณะกรรมการทั้ง 5 คนลงคะแนนเสียงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยลงคะแนน ให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีต กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อสมท. ที่เพิ่งหมดวาระไปในวันที่ 16 ก.ค.49 เข้ามาดำรงตำแหน่ง เป็นสมัยที่ 2
ทั้งนี้ นายธงทอง ระบุว่า ในวันที่ 31 ก.ค.49 ถือเป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครผู้เข้าชิงตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท จากนั้น คณะกรรมการสรรหาฯ ได้เรียกผู้สมัคร ซึ่งมีทั้งหมด 6 คนเข้าชี้แจงวิสัยทัศน์ ก่อนให้คะแนน โดยกระบวนการทั้งหมด จัดทำภายใน 1 สัปดาห์ หลังวันปิดรับสมัคร จากนั้นส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง ขออนุมัติผลตอบแทนตามที่ผู้สมัครยื่นขอ
สำหรับหลักการพิจารณาคัดเลือกมี 4 ประเด็นหลัก รวม 100 คะแนน ได้แก่ 1.คุณลักษณะ ประวัติการศึกษา บุคลิกภาพ รวม 20 คะแนะ 2. ประสบการณ์ทำงาน 20 คะแนน 3.ความรู้ความเชี่ยวชาญในงานที่เกี่ยวกับธุรกิจของ อสมท. และสื่อสารมวลชน 30 คะแนน และ 4. วิสัยทัศน์ 30 คะแนน
ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา คณะกรรมการเห็นว่า นายมิ่งขวัญ มีความโดดเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่น ขณะเดียวกัน สาเหตุที่ คณะกรรมการสรรหาฯ มีความเห็นตรงกันเลือกนายมิ่งขวัญ ในครั้งนี้ มี 2 ประการหลัก คือ 1.ตลอด 4 ปี ที่ดำรงตำแหน่ง มีผลงานโดดเด่นเป็นรูปธรรม ปรับธุรกิจ ทั้ง ทีวี และวิทยุ ให้สร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสานงานต่อได้ทันที และ 2. นายมิ่งขวัญ ได้ชี้แจงกับคณะกรรมการสรรหาว่า ใน 4 ปีข้างหน้า จะมีโครงการใหม่ๆ ที่ต่อยอดธุรกิจเดิมออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง
นายธงทอง กล่าวว่า ได้มีการประกาศรับสมัครผู้เข้าชิงตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท รวม 3 ครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค.-28 เม.ย.49 โดยมีผู้สมัคร 4ราย ได้แก่ นายศรีรัตน์ นุชนิยม ,นางสรัสวดี เผือกสกนธ์ ,นายเสมา นาคะเวช และ นายสมมาตร์ มีศิลป์ จากนั้น ได้ขยายเวลารับสมัครออกไปถึงวันที่ 14 มิ.ย.49 แต่ไม่มีผู้สนใจสมัคร จึงได้ขยายเวลาต่ออีกถึงวันที่ 31 ก.ค.49 โดยมีผู้สมัครเพิ่มอีก 2 ราย คือ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ พันเอกวีระศักดิ์ นาทะสิริ
อย่างไรก็ตาม นายธงทองกล่าวว่า นายมิ่งขวัญ จะรับตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท ได้อีก สมัยเดียว เพราะตามกฏหมาย จะดำรงตำแหน่งนี้ได้ต่อเนื่องเพียง 2 สมัยท่านั้น จึงยืนยันว่าจะไม่มี “มิ่งขวัญ 3 “ แน่นอน
มีรายงานว่า หลังจบการแถลงข่าวนายธงทอง จันทรางศุ ได้กลับเข้าห้องพักรับรองทันที โดยไม่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในรายละเอียดเลือกผลคะแนนว่าผู้สมัครแต่ละคนได้คะแนนเท่าใด และนายมิ่งขวัญได้ค่าตอบแทนในการนั่งตำแหน่งนี้เป็นจำนวนเงินเท่าใด โดยอ้างว่าเป็นมารยาท แต่ได้แจ้งเพียงอย่างเดียวว่า ในวันนี้(10 ส.ค.49 ที่ บมจ.อสมท จะแถลงผลประกอบการ ซึ่งนายมิ่งขวัญจะเป็นผู้แถลง จึงต้องแจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนก่อนว่านายมิ่งขวัญชนะการคัดเลือกในครั้งนี้ โดยกล่าวว่า การตอบคำถามเกินอำนาจหน้าที่คงไม่ดีนัก เพราะตนเองก็ไม่อยาก “นอนคุก”
ส่วนคณะกรรมกรรมการสรรหาฯ ทุกคนมาจากหลายหน่วยงานที่หลากหลาย ตามกฎหมายกำหนดทุกประการ ได้แก่ ตนเอง คือนายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะ ประธานคณะกรรมการสรรหาฯ และมีกรรมการ 4 คน ได้แก่ นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี, นายชวลิต เศรษฐเมธีกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ,นางเพ็ญจา อ่อนชิต ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน 10 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายสมภพ บัณฑรวิพากษ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง
แหล่งข่าวจาก อสมท.เปิดเผยถึงเบื้องหลังของคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ อสมท.ว่าเป็นที่รู้กันวงในว่า รัฐบาลต้องการให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผอ.อสมท. ที่หมดวาระไปนั้น กลับเข้ามาอีกรอบ เพราะที่ผ่านมาการทำงานของนายมิ่งขวัญ สามารถสนองตอบนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการประชาสัมพันธ์ผลงานให้รัฐบาลในทุกรูปแบบที่ใช้สื่อทีวีช่อง 9 –วิทยุในเครือของ อสมท. เพื่อเผยแพร่ผลงานของรัฐบาลมาโดยตลอด
“ช่อง 9 อสมท.เป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาล ไม่ต้องดูอะไรมากคุณมิ่งขวัญ มานั่งเป็นผู้อำนวยการสำนักข่าว นี่ก็เท่ากับว่าจะพิจารณาคัดเลือกข่าวไหนเพื่อเผยแพร่ในสื่อทีวี-วิทยุก็ย่อมทำได้ โดยเฉพาะผลงานของรัฐบาลจะเห็นได้ว่าจะได้รับการเผยแพร่มากกว่าฝ่ายค้าน จับตาการช่วงการเลือกตั้งสื่อต้องมีความเป็นกลาง หากนโยบายของผู้บริหาร อสมท.เป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานก็ต้องทำอย่างนั้น ”แหล่งข่าวใน อสมท. แสดงความคิดเห็น
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่าในช่วงที่ผ่านมา นายมิ่งขวัญ ก็ได้ทำหน้าที่ในการเจรจาและวางแผนการประชาสัมพันธ์ให้กับกระทรวงต่าง ๆ โดยเฉพาะกระทรวงใดที่มีงบประมาณในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทาง อสมท.ก็จะดึงงบประมาณมาที่ อสมท.ซึ่งเห็นได้ว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ทางอสมท.จะกินรวบการโฆษณามากกว่าสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ เพราะได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากรัฐมนตรีในบางกระทรวงที่ อสมท.ให้การสนับสนุนและเผยแพร่ผลงานให้
ที่ผ่านมามีการขอร้องอย่างไม่เป็นทางการเพื่อให้นำเสนอผลงานหรือการตรวจเยี่ยมงานของรัฐบาล เพื่อให้เผยแพร่ในสื่อช่อง 9 บางครั้งเนื้อหาสาระผู้ชมไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก แต่ก็มีการนำเสนอในรายการอย่าต่อเนื่อง เป็นการยัดเยียดให้ผู้ชมต้องรับรู้ นี่ก็เท่ากับเป็นการปิดหูปิดตามประชาชน
สำหรับประเด็นที่ว่าการคัดเลือกนายมิ่งขวัญเข้ามานั่งตำแหน่งผอ.อสมท.อีกวาระนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าจะต้องได้รับตำแหน่ง ผอ.อสมท.อีกสมัยเป็นที่แน่นอน เพราะมีการวางตัวมาอยู่แล้ว ถึงแม้จะอ้างว่าให้ยืดเวลาการรับสมัครออกไปอีก เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นมาสมัครเพิ่มเติม ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว่าเป็นปาหี่ที่กรรมการสรรหารู้อยู่แล้วว่านายมิ่งขวัญ ได้ต่ออีกวาระอย่างแน่นอน ตามที่ “ผู้จัดการรายวัน”ได้นำเสนอข่าวไปแล้วล่วงหน้า นายมิ่งขวัญ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าต้องได้รับการพิจารณา เพราะที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับคนในรัฐบาลที่รับผิดหน่วยงาน อสมท และมีการโยกย้ายบุคลากรในอสมท.บางตำแหน่งเพื่อให้ตอบสนองการทำงานรัฐบาล
“ต้องยอมรับว่าการสรรหาครั้งนี้เปิดกว้างให้มีการรับสมัครจริง แต่เป็นเพียงภาพหลอนที่แหกตาประชาชนว่ามีความโปร่งใส แล้วมาอ้างว่านายมิ่งขวัญ สามารถสานต่องานได้ ดี และมีโครงการใหม่ ๆ ที่จะต่อยอดได้ นั่นหมายถึงการต่อยอดผลงานของรัฐบาลโดยใช้สื่อ อสมท.นั่นเอง เพราะที่ผ่านมาช่อง 9 ได้รับการตอบสนองดีที่สุด และนายมิ่งขวัญ อดีตเป็นนักประชาสัมพันธ์และนักสร้างภาพอยู่แล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลได้คนแบบนี้มาบริหารงานอีกสมัยก็เท่ากับว่าการสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลผ่านสื่อช่อง 9 ยังได้เปรียบฝ่ายตรงข้ามแน่นอน” แหล่งข่าว คนเดียวกัน กล่าว
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปถึงโครงการก่อตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ซึ่ง นายมิ่งขวัญ เคยนำโครงการดังกล่าวมานำเสนอในช่วงที่จะผลักดัน อสมท.เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งระยะเวลาผ่านมา 3 ปีกว่า แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ มีแต่คุยถึงโครงการความร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน อย่างมากก็มีได้แต่นำเสนอผลการดำเนินงานของ อสมท.และคุยว่ามีผลประกอบการดีที่สุดในวงการทีวี เมื่อเ ทียบกับช่องต่าง ๆ มีรายได้เพิ่มจากผังรายการและผังวิทยุในเครือ อสมท.
“ผลประกอบการจะไม่ดีได้อย่างไร ก็เล่นไปกวาดงบโฆษณาของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและกระทรวงที่มีงบประมาณโฆษณามาทั้งหมด เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ในช่อง 9 ซึ่งผังรายการต่าง ๆ นั้นก็มีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แต่ก็ไม่มีความแปลกใหม่อะไร ถึงเวลาก็โหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อของตนเอง แถมค่าสัมปทานต่าง ๆ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่ต้องลงทุน มีแต่รายได้หากผลประกอบการไม่ดีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แล้วผู้บริหารของ อสมท.ก็มาทำคุยโชว์ตัวเลขตลอดทุกไตรมาสอย่างวันนี้ก็แถลงผลประกอบการอีก เพื่อสร้างภาพให้นักลงทุนแมงเม่าตื่นเต้นกับผลประกอบการและการปันผลของ อสมท.”แหล่งข่าวคนเดียวตั้งข้อสังเกต
เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนหน้านี้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ได้เก็บตัวเงียบเป็นอีแอบ ในระหว่างการพิจารณาสรรหาผอ.อสมท. แต่แผนงานต่าง ๆ ก็ได้เตรียมการเพื่อรองรับการทำงานในวาระที่ 2 ต่อไป เพราะได้รับนโยบายต่าง ๆ อย่างไม่เป็นทางการจากคนในรัฐบาลมาแล้วเพื่อสานต่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลต่อไปอีกวาระหนึ่ง