เผยบริษัทไร่ส้มของสรยุทธ์ส่งหนังสือถึงอสมทแบบเงียบๆ ขอเพิ่มวงเงินส่วนลดค่าโฆษณาเพิ่มอีก จากวงเงินกว่า 98 ล้านบาท ของสองรายการ “คุยคุ้ยข่าว” และ “คุยคุ้ยข่าวสุดสัปดาห์” แฉยังค้างตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ พร้อมขอจ่ายเป็น 3 งวดเริ่ม กรกฎาคม-กันยายนนี้
แหล่งข่าวจากวงการมีเดีย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ทางบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ได้ทำหนังสือลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ถึง บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เพื่อขอส่วนลดค่าดำเนินการและค่าโฆษณาของรายการ “คุยคุ้ยข่าว” และรายการ “คุยคุ้ยข่าวสุดสัปดาห์”
ทั้งนี้ในหนังสือระบุว่า ตามที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมกันผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 21.30 น. และ “คุยคุ้ยข่าวสุดสัปดาห์” ออกอากาศ วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 12.05-13.00 น. ปรากฎว่า มีโฆษณาออกอากาศเกินตั้งแต่เดือนมกราคม 2549-มิถุนายน 2549 เป็นจำนวนเงิน 98,790,000 บาท ส่วนลดตามสัญญา 30% รวมเป็นเงิน 69,153,000 บาท
ส่วนลด 30% ของอัตราโฆษณา เป็นส่วนลดที่ บจ.ไร่ส้ม และ บมจ. อสมท ให้กับลูกค้าโดยทั่วไปอยู่แล้ว เนื่องจาก บ.ไร่ส้ม เป็นผู้ร่วมผลิตและในการขายให้ลูกค้า มีต้นทุนการจัดการโฆษณาส่วนหนึ่ง จึงขอให้ บมจ.อสมท พิจารณาส่วนลดเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งนี้บจ.ไร่ส้ม จะดำเนินการชำระเงินจำนวนดังกล่าวเป็น 3 งวด แบ่งเป็น 1.ยอดเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ จ่าย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ 2.ยอดเดือนมีนาคมและเมษายน จ่าย ณ สิ้นเดือนสิงหาคมนี้ 3.ยอดเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน จ่าย ณ สิ้นเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวระบุว่า อาจจะมีความเป็นไปได้ว่า การขายโฆษณาทั้งสองรายการนี้ ทางอสมทกับไร่ส้มจะแบ่งจำนวนเวลากันในการขาย เพื่อเป็นการช่วยหารายได้ในหลายทาง โดยที่ทาง อสมท ได้นำไปขายให้กับลูกค้าโดยมีส่วนลดประมาณ 20% แต่ขณะที่ทางไร่ส้มนั้นได้ใช้วิธีการให้ส่วนลดกับลูกค้าที่ลงโฆษณาประมาณ 30% ซึ่งมากกว่าที่ทางอสมทเสนอให้กับลูกค้า ดังนั้น เจ้าของสินค้าและเอเจนซีส่วนใหญ่ก็ต้องการราคาที่ถูกจากส่วนลดมากเป็นธรรมดาจึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่มาลงโฆษณากับทางไร่ส้ม มากกว่า เงินจากการขายโฆษณาจึงตกอยู่กับไร่ส้มมากกว่าอสมท
ขณะที่เงินจากการขายโฆษณาจำนวนมากที่มีการออกอากาศเกินตั้งแต่ต้นปีนั้นยังไม่ได้มีการชำระ ซึ่งไร่ส้มกำลังทำเรื่องขอชำระเงินดังกล่าวเป็น 3 งวดนั้น ไม่น่าจะมีความเหมาะสม และอสมท ปล่อยให้ระยะเวลาล่าช้ามาขนาดนี้ได้อย่างไร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ยังนั่งบริหารอยู่ในตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทำไมจึงไม่ได้จัดการอะไรซึ่งอสมท เองก็คงจะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย และอาจจะเป็นไปได้ว่า เรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องเดียวในอีกหลายเรื่องที่ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาก็เป็นได้
ทั้งนี้การที่มีข่าวการหมกเม็ดเช่นนี้ออกมาน่าจะเป็นเพราะ คนในอสมทเองที่ต้องการจะรักษาผลประโยชน์ขององค์กร อสมท ไม่ต้องการให้ อสมท ต้องได้รับความเสียหาย และเป็นช่วงที่จะสามารถแฉอะไรออกมาได้อีก เพราะอสมทกำลังอยู่ในช่วงของการสรรหา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ คนใหม่
ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่คณะกรรมการสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ซึ่งมีนายธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานคณะกรรมการฯ อยู่ระหว่างการสัมภาษณ์และพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท คนต่อไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกว่า การสมัครกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ครั้งนี้ ไม่มีการเปิดเผยว่า มีใครบ้างที่มาสมัคร บอกแต่เพียงแค่จำนวนผู้สมัคร แตกต่างจากเมื่อ 2 ครั้งหลังสุด คือ ยุคที่นายสรจักร เกษมสุวรรณ และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งก่อนที่จะสรุปว่า 2 คนนี้ได้ดำรงตำแหน่งนั้น มีผู้สนใจมาสมัครมากกว่า 20 คนทั้ง 2 ครั้ง และยังมีการเปิดเผยรายชื่อผู้มาสมัครด้วย ตรงนี้เองที่มีความโปร่งใส แตกต่างจากครั้งนี้ที่ปิดรายชื่อเงียบ
อดีตผู้ที่เคยลงสมัครตำแหน่งนี้ ให้ความเห็นว่า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นหวยล็อกแน่นอนแล้วว่าใครจะมานั่งบริหารต่อไป ทำให้ผู้ที่มีความสามารถหรือผู้ที่สนใจจึงตัดสินใจไม่มาสมัคร เพราะรู้อยู่แล้วว่า สมัครไปก็ไม่ได้ เพราะคณะกรรมการฯมีตัวเลือกอยู่แล้ว
แหล่งข่าวจากวงการมีเดีย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ทางบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ได้ทำหนังสือลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ถึง บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เพื่อขอส่วนลดค่าดำเนินการและค่าโฆษณาของรายการ “คุยคุ้ยข่าว” และรายการ “คุยคุ้ยข่าวสุดสัปดาห์”
ทั้งนี้ในหนังสือระบุว่า ตามที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมกันผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 21.30 น. และ “คุยคุ้ยข่าวสุดสัปดาห์” ออกอากาศ วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 12.05-13.00 น. ปรากฎว่า มีโฆษณาออกอากาศเกินตั้งแต่เดือนมกราคม 2549-มิถุนายน 2549 เป็นจำนวนเงิน 98,790,000 บาท ส่วนลดตามสัญญา 30% รวมเป็นเงิน 69,153,000 บาท
ส่วนลด 30% ของอัตราโฆษณา เป็นส่วนลดที่ บจ.ไร่ส้ม และ บมจ. อสมท ให้กับลูกค้าโดยทั่วไปอยู่แล้ว เนื่องจาก บ.ไร่ส้ม เป็นผู้ร่วมผลิตและในการขายให้ลูกค้า มีต้นทุนการจัดการโฆษณาส่วนหนึ่ง จึงขอให้ บมจ.อสมท พิจารณาส่วนลดเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งนี้บจ.ไร่ส้ม จะดำเนินการชำระเงินจำนวนดังกล่าวเป็น 3 งวด แบ่งเป็น 1.ยอดเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ จ่าย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ 2.ยอดเดือนมีนาคมและเมษายน จ่าย ณ สิ้นเดือนสิงหาคมนี้ 3.ยอดเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน จ่าย ณ สิ้นเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวระบุว่า อาจจะมีความเป็นไปได้ว่า การขายโฆษณาทั้งสองรายการนี้ ทางอสมทกับไร่ส้มจะแบ่งจำนวนเวลากันในการขาย เพื่อเป็นการช่วยหารายได้ในหลายทาง โดยที่ทาง อสมท ได้นำไปขายให้กับลูกค้าโดยมีส่วนลดประมาณ 20% แต่ขณะที่ทางไร่ส้มนั้นได้ใช้วิธีการให้ส่วนลดกับลูกค้าที่ลงโฆษณาประมาณ 30% ซึ่งมากกว่าที่ทางอสมทเสนอให้กับลูกค้า ดังนั้น เจ้าของสินค้าและเอเจนซีส่วนใหญ่ก็ต้องการราคาที่ถูกจากส่วนลดมากเป็นธรรมดาจึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่มาลงโฆษณากับทางไร่ส้ม มากกว่า เงินจากการขายโฆษณาจึงตกอยู่กับไร่ส้มมากกว่าอสมท
ขณะที่เงินจากการขายโฆษณาจำนวนมากที่มีการออกอากาศเกินตั้งแต่ต้นปีนั้นยังไม่ได้มีการชำระ ซึ่งไร่ส้มกำลังทำเรื่องขอชำระเงินดังกล่าวเป็น 3 งวดนั้น ไม่น่าจะมีความเหมาะสม และอสมท ปล่อยให้ระยะเวลาล่าช้ามาขนาดนี้ได้อย่างไร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ยังนั่งบริหารอยู่ในตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทำไมจึงไม่ได้จัดการอะไรซึ่งอสมท เองก็คงจะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย และอาจจะเป็นไปได้ว่า เรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องเดียวในอีกหลายเรื่องที่ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาก็เป็นได้
ทั้งนี้การที่มีข่าวการหมกเม็ดเช่นนี้ออกมาน่าจะเป็นเพราะ คนในอสมทเองที่ต้องการจะรักษาผลประโยชน์ขององค์กร อสมท ไม่ต้องการให้ อสมท ต้องได้รับความเสียหาย และเป็นช่วงที่จะสามารถแฉอะไรออกมาได้อีก เพราะอสมทกำลังอยู่ในช่วงของการสรรหา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ คนใหม่
ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่คณะกรรมการสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ซึ่งมีนายธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานคณะกรรมการฯ อยู่ระหว่างการสัมภาษณ์และพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท คนต่อไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกว่า การสมัครกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ครั้งนี้ ไม่มีการเปิดเผยว่า มีใครบ้างที่มาสมัคร บอกแต่เพียงแค่จำนวนผู้สมัคร แตกต่างจากเมื่อ 2 ครั้งหลังสุด คือ ยุคที่นายสรจักร เกษมสุวรรณ และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งก่อนที่จะสรุปว่า 2 คนนี้ได้ดำรงตำแหน่งนั้น มีผู้สนใจมาสมัครมากกว่า 20 คนทั้ง 2 ครั้ง และยังมีการเปิดเผยรายชื่อผู้มาสมัครด้วย ตรงนี้เองที่มีความโปร่งใส แตกต่างจากครั้งนี้ที่ปิดรายชื่อเงียบ
อดีตผู้ที่เคยลงสมัครตำแหน่งนี้ ให้ความเห็นว่า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นหวยล็อกแน่นอนแล้วว่าใครจะมานั่งบริหารต่อไป ทำให้ผู้ที่มีความสามารถหรือผู้ที่สนใจจึงตัดสินใจไม่มาสมัคร เพราะรู้อยู่แล้วว่า สมัครไปก็ไม่ได้ เพราะคณะกรรมการฯมีตัวเลือกอยู่แล้ว