รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้นโยบายเร่งเจรจาสร้างพันธมิตรการค้าใหม่ หลังการประชุมดับเบิลยูทีโอ รอบโดฮา ไม่ประสบผลสำเร็จ และหลายประเทศเร่งเจรจาการค้าแบบทวีภาคี โดยมอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกำหนดประเทศเป้าหมายนำนักธุรกิจไทยเดินสายเจรจา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศเพื่อรับทราบแผนงานการประชุมระหว่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ซึ่งนางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นผู้รายงาน ทั้งนี้ นายสมคิด ได้มอบนโยบายในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเศรษฐกิจหลังการเจรจาองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) รอบโดฮา ไม่ประสบผลสำเร็จ และในช่วงเวลานี้ประเทศต่าง ๆ จะเจรจาทวิภาคีมากขึ้น ไทยก็ควรสานต่อการเจรจาทวิภาคีเช่นกัน แต่มิใช่เน้นการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี ควรเป็นการเจรจาเพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรเศรษฐกิจ และมอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเตรียมกำหนดเส้นทางสำหรับการเจรจาทวิภาคี โดยมีรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมนำนักธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อพบนักธุรกิจที่มีบทบาททางการค้าในแต่ละประเทศที่ไปเพื่อทำความรู้จักและสร้างเครือข่ายพันธมิตรเศรษฐกิจดังกล่าว ทั้งนี้ ได้ให้นโยบายว่าสหภาพยุโรปควรเน้นฝรั่งเศส ซึ่งจะเป็นประตูการค้า (Gateway) สู่แอฟริกาใต้ อิตาลี และเยอรมนี เป็นหัวหอก เอเชียควรเน้นญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ ส่วนอาเซียนควรเน้นเวียดนาม พม่า และลาว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงเดือนกันยายน 2549 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมีแผนการประชุมทวิภาคีกับฝรั่งเศส และจะลงนามในความร่วมมือกับฝรั่งเศสในด้านต่างๆ นายสมคิด จึงขอให้กำหนดเส้นทางการเดินทางต่อไปถึงอิตาลีด้วย โดยที่อิตาลีขอให้เน้นคลัสเตอร์สินค้าอาหาร แฟชั่น และยานยนต์ ส่วนอินเดียซึ่งมีบทบาทต่อการค้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสาขา science technology เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรจัดเส้นทางให้นักธุรกิจไทยได้พบกับนักธุรกิจรายสำคัญของอินเดีย ทั้งนี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้กำหนดแผนเดินทางไว้ประมาณปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคมนี้
ส่วนเรื่องการประชุมทวิภาคีไทย-สิงคโปร์ (STEER : Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationships) ซึ่งสิงคโปร์เสนอให้ประชุมครั้งที่ 3 ทั้งนี้ นายสมคิด ให้นโยบายว่าขอให้ยืดเวลาออกไปก่อนยังไม่จำเป็นต้องประชุมในช่วงเวลานี้ เรื่องการเจรจาทวิภาคีไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA : Japan-Thailand Economic Partnership Agreement) ควรเตรียมการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศก่อนลงนามในความตกลงเพื่อให้ไทยได้รับความร่วมมืออื่น ๆ จากญี่ปุ่นด้วย มิใช่เพียงลงนามในความตกลงอย่างเดียว ควรจัดคณะเดินทางไปหารือกับญี่ปุ่น 1 ครั้ง ก่อนลงนาม และควรไปก่อนการเลือกตั้ง
สำหรับการเพิ่มขีดความสามารถให้ภาคเอกชนไทย ขอให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดทำโครงการเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคเอกชนเพื่ออบรมให้ความรู้นักธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีอย่างจริงจัง ในเรื่องการเจรจาภายใต้กรอบดับเบิลยูทีโอ การเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และอาเซียน เพื่อเวลาไปต่างประเทศพบปะนักธุรกิจต่างประเทศจะได้มองเห็นโอกาสการเข้าสู่ตลาดได้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศเพื่อรับทราบแผนงานการประชุมระหว่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ซึ่งนางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นผู้รายงาน ทั้งนี้ นายสมคิด ได้มอบนโยบายในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเศรษฐกิจหลังการเจรจาองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) รอบโดฮา ไม่ประสบผลสำเร็จ และในช่วงเวลานี้ประเทศต่าง ๆ จะเจรจาทวิภาคีมากขึ้น ไทยก็ควรสานต่อการเจรจาทวิภาคีเช่นกัน แต่มิใช่เน้นการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี ควรเป็นการเจรจาเพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรเศรษฐกิจ และมอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเตรียมกำหนดเส้นทางสำหรับการเจรจาทวิภาคี โดยมีรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมนำนักธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อพบนักธุรกิจที่มีบทบาททางการค้าในแต่ละประเทศที่ไปเพื่อทำความรู้จักและสร้างเครือข่ายพันธมิตรเศรษฐกิจดังกล่าว ทั้งนี้ ได้ให้นโยบายว่าสหภาพยุโรปควรเน้นฝรั่งเศส ซึ่งจะเป็นประตูการค้า (Gateway) สู่แอฟริกาใต้ อิตาลี และเยอรมนี เป็นหัวหอก เอเชียควรเน้นญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ ส่วนอาเซียนควรเน้นเวียดนาม พม่า และลาว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงเดือนกันยายน 2549 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศมีแผนการประชุมทวิภาคีกับฝรั่งเศส และจะลงนามในความร่วมมือกับฝรั่งเศสในด้านต่างๆ นายสมคิด จึงขอให้กำหนดเส้นทางการเดินทางต่อไปถึงอิตาลีด้วย โดยที่อิตาลีขอให้เน้นคลัสเตอร์สินค้าอาหาร แฟชั่น และยานยนต์ ส่วนอินเดียซึ่งมีบทบาทต่อการค้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสาขา science technology เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรจัดเส้นทางให้นักธุรกิจไทยได้พบกับนักธุรกิจรายสำคัญของอินเดีย ทั้งนี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้กำหนดแผนเดินทางไว้ประมาณปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคมนี้
ส่วนเรื่องการประชุมทวิภาคีไทย-สิงคโปร์ (STEER : Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationships) ซึ่งสิงคโปร์เสนอให้ประชุมครั้งที่ 3 ทั้งนี้ นายสมคิด ให้นโยบายว่าขอให้ยืดเวลาออกไปก่อนยังไม่จำเป็นต้องประชุมในช่วงเวลานี้ เรื่องการเจรจาทวิภาคีไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA : Japan-Thailand Economic Partnership Agreement) ควรเตรียมการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศก่อนลงนามในความตกลงเพื่อให้ไทยได้รับความร่วมมืออื่น ๆ จากญี่ปุ่นด้วย มิใช่เพียงลงนามในความตกลงอย่างเดียว ควรจัดคณะเดินทางไปหารือกับญี่ปุ่น 1 ครั้ง ก่อนลงนาม และควรไปก่อนการเลือกตั้ง
สำหรับการเพิ่มขีดความสามารถให้ภาคเอกชนไทย ขอให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดทำโครงการเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคเอกชนเพื่ออบรมให้ความรู้นักธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีอย่างจริงจัง ในเรื่องการเจรจาภายใต้กรอบดับเบิลยูทีโอ การเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และอาเซียน เพื่อเวลาไปต่างประเทศพบปะนักธุรกิจต่างประเทศจะได้มองเห็นโอกาสการเข้าสู่ตลาดได้