ผู้ประกอบการน้ำมันคาดปีนี้ขาดทุนการค้าน้ำมันรวม 10,000 ล้านบาท หลังไม่ได้ปรับราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ในขณะที่กำไรบางจากไตรมาส 2 ลดลงกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งจากค่าการตลาดขายปลีกที่ติดลบ 37 สตางค์ กำไรสตอกน้ำมันลดลง และลดกำลังผลิตเหตุจากโรงกลั่นไทยออยล์ไม่สามารถรับน้ำมันเตาไปกลั่นได้เพิ่มขึ้น
นายมนูญ ศิริวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกทรงตัวในระดับสูง และราคาน้ำมันในประเทศไม่สามารถปรับขึ้นได้เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ได้ส่งผลให้ในขณะนี้ผู้ค้าน้ำมันทุกรายเกิดปัญหาการขาดทุนในการค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งหากคำนวณจากกรณี ปตท. มีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันร้อยละ 36 เข้ามารับภาระน้ำมันในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่ากว่า 3,500 ล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่าทั้งปีผู้ค้าน้ำมันทุกรายจะมีส่วนขาดทุนหรือแบกรับภาระน้ำมันร่วมกันกว่า 10,000 ล้านบาท โดยจากปัญหานี้ทุกค่ายจึงต้องมีกลยุทธ์ในการหาธุรกิจเสริมเข้ามา โดยในส่วนของบางจากได้มีทั้งธุรกิจเสริมทุกด้าน เช่น กาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านค้าสะดวกซื้อ รวมทั้งเรื่องการเพิ่มการบริการพลังงานทดเทน โดยเฉพาะปั๊มเอ็นจีวีที่ขณะนี้บางจากเกิดได้ 3 แห่งแล้วในเขตกรุงเทพฯ ปรากฏว่าประชาชนให้การตอบรับที่ดีมาก และรายได้ของบริษัทดีขึ้นเพราะค่าการตลาดเอ็นจีวีได้มากกว่า 2 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันขาดทุน
ทั้งนี้ บางจากได้เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2549 มีรายได้รวม 24,948 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 827 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 161 ล้านบาท มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 204 ล้านบาท และภาษีเงินได้ 150 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 296 ล้านบาท แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 1,317 ล้านบาท แล้วลดลงถึง 1,021 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2548 มีกำไรจากสตอกน้ำมันสูงถึง 967 ล้านบาท ในขณะที่ในปี 2549 นี้มีกำไรจากสตอกน้ำมัน 227 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2548 บริษัทยังคงมีผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมา จึงทำให้ไม่มีภาระภาษีที่ต้องจ่าย
ผลการดำเนินงานดังกล่าวมีสาเหตุมาจากปีนี้บริษัทมีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสตอกน้ำมัน) 4.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 3.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นผลจากค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับตัวดีขึ้นจาก 2.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 3.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ภายใต้สถานการณ์ความตึงเครียดของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะความขัดแย้งของประเทศอิหร่านกับชาติตะวันตกในเรื่องของการทดลองพลังงานนิวเคลียร์ รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (Driving Season) ของยุโรปและสหรัฐ และการเข้ามาซื้อขายของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ซึ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้น
และจากการที่บริษัทได้ทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงทำให้มีกำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า 0.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล วงเงิน 197 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มีกำไรจากสตอกน้ำมัน 0.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือ 227 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 3.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล คิดเป็น 967 ล้านบาท ดังนั้น ในไตรมาสนี้บริษัทมีค่าการกลั่นรวมอยู่ที่ระดับ 5.48 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 54,000 บาร์เรลต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 65,000 บาร์เรลต่อวัน สาเหตุหลักมาจากการส่งน้ำมันเตาไปเพิ่มมูลค่าที่โรงกลั่นไทยออยล์ทำได้จำกัด จึงทำให้ต้องลดปริมาณการผลิตเพื่อลดปริมาณผลผลิตน้ำมันเตา
ส่วนในด้านการค้าน้ำมันนั้น บริษัทมีค่าการตลาด (ไม่รวมน้ำมันเครื่อง) อยู่ที่ระดับติดลบ 12 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับบวก 47 สตางค์ต่อลิตร เพราะราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บริษัทมีต้นทุนขายที่สูงขึ้น แต่ไม่สามารถปรับราคาขายหน้าสถานีบริการน้ำมันได้ทัน จึงทำให้ในตลาดค้าปลีกมีค่าการตลาดติดลบ 37 สตางค์ต่อลิตร อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงรักษากำไรในตลาดอุตสาหกรรมไว้ได้ โดยมีค่าการตลาดอยู่ที่บวก 50 สตางค์ต่อลิตร
นายมนูญ ศิริวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกทรงตัวในระดับสูง และราคาน้ำมันในประเทศไม่สามารถปรับขึ้นได้เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ได้ส่งผลให้ในขณะนี้ผู้ค้าน้ำมันทุกรายเกิดปัญหาการขาดทุนในการค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งหากคำนวณจากกรณี ปตท. มีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันร้อยละ 36 เข้ามารับภาระน้ำมันในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่ากว่า 3,500 ล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่าทั้งปีผู้ค้าน้ำมันทุกรายจะมีส่วนขาดทุนหรือแบกรับภาระน้ำมันร่วมกันกว่า 10,000 ล้านบาท โดยจากปัญหานี้ทุกค่ายจึงต้องมีกลยุทธ์ในการหาธุรกิจเสริมเข้ามา โดยในส่วนของบางจากได้มีทั้งธุรกิจเสริมทุกด้าน เช่น กาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านค้าสะดวกซื้อ รวมทั้งเรื่องการเพิ่มการบริการพลังงานทดเทน โดยเฉพาะปั๊มเอ็นจีวีที่ขณะนี้บางจากเกิดได้ 3 แห่งแล้วในเขตกรุงเทพฯ ปรากฏว่าประชาชนให้การตอบรับที่ดีมาก และรายได้ของบริษัทดีขึ้นเพราะค่าการตลาดเอ็นจีวีได้มากกว่า 2 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันขาดทุน
ทั้งนี้ บางจากได้เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2549 มีรายได้รวม 24,948 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 827 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 161 ล้านบาท มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 204 ล้านบาท และภาษีเงินได้ 150 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 296 ล้านบาท แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 1,317 ล้านบาท แล้วลดลงถึง 1,021 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2548 มีกำไรจากสตอกน้ำมันสูงถึง 967 ล้านบาท ในขณะที่ในปี 2549 นี้มีกำไรจากสตอกน้ำมัน 227 ล้านบาท อีกทั้งในปี 2548 บริษัทยังคงมีผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมา จึงทำให้ไม่มีภาระภาษีที่ต้องจ่าย
ผลการดำเนินงานดังกล่าวมีสาเหตุมาจากปีนี้บริษัทมีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสตอกน้ำมัน) 4.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 3.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นผลจากค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับตัวดีขึ้นจาก 2.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 3.45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ภายใต้สถานการณ์ความตึงเครียดของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะความขัดแย้งของประเทศอิหร่านกับชาติตะวันตกในเรื่องของการทดลองพลังงานนิวเคลียร์ รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (Driving Season) ของยุโรปและสหรัฐ และการเข้ามาซื้อขายของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ซึ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้น
และจากการที่บริษัทได้ทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงทำให้มีกำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า 0.82 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล วงเงิน 197 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มีกำไรจากสตอกน้ำมัน 0.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือ 227 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 3.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล คิดเป็น 967 ล้านบาท ดังนั้น ในไตรมาสนี้บริษัทมีค่าการกลั่นรวมอยู่ที่ระดับ 5.48 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 54,000 บาร์เรลต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 65,000 บาร์เรลต่อวัน สาเหตุหลักมาจากการส่งน้ำมันเตาไปเพิ่มมูลค่าที่โรงกลั่นไทยออยล์ทำได้จำกัด จึงทำให้ต้องลดปริมาณการผลิตเพื่อลดปริมาณผลผลิตน้ำมันเตา
ส่วนในด้านการค้าน้ำมันนั้น บริษัทมีค่าการตลาด (ไม่รวมน้ำมันเครื่อง) อยู่ที่ระดับติดลบ 12 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับบวก 47 สตางค์ต่อลิตร เพราะราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บริษัทมีต้นทุนขายที่สูงขึ้น แต่ไม่สามารถปรับราคาขายหน้าสถานีบริการน้ำมันได้ทัน จึงทำให้ในตลาดค้าปลีกมีค่าการตลาดติดลบ 37 สตางค์ต่อลิตร อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงรักษากำไรในตลาดอุตสาหกรรมไว้ได้ โดยมีค่าการตลาดอยู่ที่บวก 50 สตางค์ต่อลิตร