กฟผ.ระบุค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่จะไม่ปรับขึ้น หลังมีการบริหารจัดการให้ต้นทุนต่ำที่สุด เพราะนำก๊าซธรรมชาติจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ผลิตไฟฟ้าทดแทนน้ำมันเตาที่มีราคาสูงขึ้น พร้อมจัดสรรงบประมาณ 120 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 5 ด้าน
นายไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ (ต.ค.49- ม.ค.50) ว่าอาจจะไม่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะ กฟผ.ได้พยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้ต้นทุนเพิ่ม โดยจะนำก๊าซจากแหล่งภูฮ่อม จังหวัดอุดรธานี มาผลิตไฟฟ้า และประสานกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยการนำก๊าซจากพม่ามาใช้ให้มากขึ้น อีกทั้งเร่งให้โรงไฟฟ้าถ่านหินจากระยองเข้ามาผลิตไฟฟ้าด้วย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนจากน้ำมันเตามากขึ้น จึงเชื่อว่าค่าเอฟทีในงวดต่อไปไม่น่าจะปรับขึ้นค่าเอฟที โดยปัจจุบัน กฟผ.ใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้าประมาณร้อยละ 70 แต่อนาคตจะต้องปรับให้ใช้ถ่านหินและเชื้อเพลิงทดแทนอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น
นอกจากนี้ กฟผ.ได้ตั้งกองทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี โดยปีงบประมาณ 2549 จัดสรรเงิน 120 ล้านบาท สนับสนุนงานวิจัย 5 ด้าน คือ ทดแทนการนำเข้าเทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการไฟฟ้า การลดความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุด การพัฒนาพลังงานใหม่เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้าและการลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี การพัฒนา และการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มงบประมาณเป็น 300 ล้านบาท และ 400 ล้านบาท ต่อไป
ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีให้องค์กรของรัฐจัดสรรงบประมาณไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของกำไรสุทธิ และไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของเงินลงทุนในโครงการที่มีวงเงินลงทุนเกินกว่า 500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา
นายไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวถึงแนวโน้มค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่ (ต.ค.49- ม.ค.50) ว่าอาจจะไม่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะ กฟผ.ได้พยายามบริหารจัดการเพื่อไม่ให้ต้นทุนเพิ่ม โดยจะนำก๊าซจากแหล่งภูฮ่อม จังหวัดอุดรธานี มาผลิตไฟฟ้า และประสานกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยการนำก๊าซจากพม่ามาใช้ให้มากขึ้น อีกทั้งเร่งให้โรงไฟฟ้าถ่านหินจากระยองเข้ามาผลิตไฟฟ้าด้วย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนจากน้ำมันเตามากขึ้น จึงเชื่อว่าค่าเอฟทีในงวดต่อไปไม่น่าจะปรับขึ้นค่าเอฟที โดยปัจจุบัน กฟผ.ใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้าประมาณร้อยละ 70 แต่อนาคตจะต้องปรับให้ใช้ถ่านหินและเชื้อเพลิงทดแทนอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น
นอกจากนี้ กฟผ.ได้ตั้งกองทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี โดยปีงบประมาณ 2549 จัดสรรเงิน 120 ล้านบาท สนับสนุนงานวิจัย 5 ด้าน คือ ทดแทนการนำเข้าเทคโนโลยี วัสดุ และอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการไฟฟ้า การลดความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุด การพัฒนาพลังงานใหม่เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้าและการลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี การพัฒนา และการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มงบประมาณเป็น 300 ล้านบาท และ 400 ล้านบาท ต่อไป
ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีให้องค์กรของรัฐจัดสรรงบประมาณไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของกำไรสุทธิ และไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของเงินลงทุนในโครงการที่มีวงเงินลงทุนเกินกว่า 500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา