สถานการณ์แผ่นผีซีดีเถื่อนระบาดหนัก ผู้บริหาร"แมงป่อง" นั่งไม่ติดเก้าอี้ ปรับแผนแก้เกมครึ่งปีหลัง ขอยกเลิกสัญญาลิขสิทธิ์กับสหมงคลฟิล์ม ลดการแบกรับต้นทุน 200 ล้านบาท เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “ป่องทรัพย์” ขยายขีดจำกัดการทำธุรกิจ แตกไลน์ผุดโมเดลบิซิเนส ชอป “แกรนดี้” เป็นไฟท์ติ้งแบรนด์สู้ เชื่อสิ้นปีรายได้รวมหดลง
นางกิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน) (เปลี่ยนจากชื่อเดิมคือ บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์การละเมิดลิขสิทธ์หนังแผ่นทั้งวีซีดี ดีวีดี เริ่มรุนแรงขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่ช่วงปลายปี 2548 ที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาทางการเมืองที่ไม่นิ่ง จึงทำให้เกิดการละเมิดสูงขึ้น เพราะไม่มีการปราบปรามที่ต่อเนื่องจากทางภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลงคนมีกำลังซื้อน้อยลง ก็มีส่วนทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์เติบโตขึ้น ทำให้บริษัทฯได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
สำหรับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ใหญ่ๆเช่น ภาพยนตร์เรื่อง โหน่งเท่ง นักเลงภูเขาทอง ก่อนเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ พบว่ามีพรีเซลล์ออเดอร์ประมาณ 1 ล้านแผ่น แต่ในขณะที่มีแผ่นละเมิดลิขสิทธ์ออกวางตลาด ทำให้ตัวเลขพรีเซลล์ลดลงเหลือ 4 แสนแผ่น และหลังจากเข้าฉายไป 3 อาทิตย์ ตัวเลขเหลือเพียง 1.4 แสนแผ่นเท่านั้น ในระยะเวลารวมเพียง 3 เดือนเท่านั้น ในขณะที่เฉลี่ยค่าลิขสิทธิ์หนังไทยแต่ละเรื่องจะอยู่ที่ 2-5 ล้านบาท ถึงจุดคุ้มทุนที่ยอดขายประมาณ 2-3 แสนแผ่น ซึ่งต้นปีที่ผ่านมา มีหนังไทยเพียงเรื่องเดียวที่ถึงจุดคุ้มทุนในการจำหน่าย คือเรื่อง ต้มยำกุ้ง จากออเดอร์ 1 ล้านแผ่น
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น บริษัทฯจึงได้มีการขอพักการซื้อขายลิขสิทธิ์ เป็นการชั่วคราวไว้ก่อนในครึ่งปีหลังนี้กับทางสหมงคลฟิล์มและมงคลเมเจอร์ และจะมีผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ไปจนถึงสิ้นปี จากเดิมที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์กว่า 400 ล้านบาท จึงเหลือเพียง 200 ล้านบาท บริษัทฯยังเหลือภาระในการแบกรับต้นทุนไม่เกิน 300 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าลิขสิทธิ์ที่เหลือ 200 ล้านบาทให้แก่ทางสหมงคลฟิล์ม และมงคลเมเจอร์ที่ใช้ช่วงครึ่งปีแรก และค่าลิขสิทธิ์อื่นอีกประปรายสำหรับบริษัทอื่นๆ อีกไม่เกิน 100 ล้านบาท
โดยลิขสิทธิ์หนังจากการเซ็นสัญญากับทางสหมงคลฟิล์ม และมงคลเมเจอร์ที่อยู่ในมือนั้น ยังมีอยู่ประมาณ 10 เรื่อง เป็นหนังไทย 6 เรื่อง นอกจากนี้ในปี 2550 ก็ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งถ้าหากจะต้องมีการซื้อลิขสิทธิ์หนังต่อไป อาจจะมีการพิจารณาเป็นเรื่องๆไป รวมไปถึงจะหันมาใช้นโยบายการซื้อลิขสิทธิ์ในแบบรอยัลตี้ คือการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ต่อชิ้นแทนการซื้อแบบล่ำซำ หรือเหมาจ่าย โดยระบบรอยัลตี้ ถือเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังทำกำไรได้ตั้งแต่แผ่นแรกที่จำหน่าย
ปรับโมเดลธุรกิจ ผุดชอบไฟท์ติ้งแบรนด์สู้
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน) และปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ก็เพื่อให้คู่ค้าส่วนใหญ่รับรู้ว่า บริษัทฯไม่ได้ทำธุรกิจเพียงแค่ร้านแมงป่องเพียงอย่างเดียว ส่วนโมเดลธุรกิจที่ปรับใหม่ภายใต้ “ป่องทรัพย์” ได้แก่ เอาท์เลทร้านแมงป่อง, ชอปแกรนดี้, นครไทยพิคเจอร์ ดูแลธุรกิจผลิตและสร้างภาพยนตร์, ค่ายเพลง ดังดัง และ Maxx ผู้ถือลิขสิทธิ์เพลงสากลจากประเทศเยอรมันและอังกฤษ
ในขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯมีสาขากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ และถือเป็นจุดแข็งของบริษัท ดังนั้น จึงจะเน้นมาลุยด้านฮาร์ดแวร์ มากขึ้น ล่าสุดเตรียมเปิดชอป “แกรนดี้” ขึ้นเป็นไฟท์ติ้งแบรนด์ สู้ในสถานการณ์นี้ โดยชอปแกรนดี้นั้น จะจับกลุ่มเป้าหมายตลาดล่างเป็นหลัก โดยสินค้าที่จำหน่ายนั้นจะมีเช่นเดียวกับร้านแมงป่องทุกประการ แต่มีราคาถูกกว่าตั้งแต่ 19 บาทขึ้นไป เน้นขายจำนวนมากกว่ากำไร
โดยชอปแกรนดี้นั้นจะเป็นการปรับจากร้านแมงป่องเดิมที่เปิดในสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส บิ๊กซี และสแตนอโลน จำนวนกว่า 50 สาขา รวมไปถึงคีออสอีก 200 จุด ตามโลตัส เอ็กซ์เพลส และแม็คโครก็จะปรับมาใช้ชื่อแกรนดี้เช่นเดียวกัน ส่วนร้านแมงป่องนั้น ขณะนี้ได้มีการปรับราคาสินค้ากู้สถานการณ์มากว่า 1 ปี ล่าสุดขณะนี้ปรับราคาลดลงไปแล้วกว่า 50%
ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทฯหันมาให้ความสำคัญกับฮาร์ดแวร์มากขึ้นแล้ว จะช่วยให้ยอดรายได้รวมอาจลดลงบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน การให้ความสำคัญกับจำนวนสินค้าที่ขาย จากชอปแกรนดี้ จะยังคงช่วยให้ยอดรายได้ลดลงบ้าง จากที่ตั้งไว้ 2,000-2,200 ล้านบาทในปีนี้
นางกิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน) (เปลี่ยนจากชื่อเดิมคือ บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์การละเมิดลิขสิทธ์หนังแผ่นทั้งวีซีดี ดีวีดี เริ่มรุนแรงขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่ช่วงปลายปี 2548 ที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาทางการเมืองที่ไม่นิ่ง จึงทำให้เกิดการละเมิดสูงขึ้น เพราะไม่มีการปราบปรามที่ต่อเนื่องจากทางภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลงคนมีกำลังซื้อน้อยลง ก็มีส่วนทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์เติบโตขึ้น ทำให้บริษัทฯได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
สำหรับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ใหญ่ๆเช่น ภาพยนตร์เรื่อง โหน่งเท่ง นักเลงภูเขาทอง ก่อนเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ พบว่ามีพรีเซลล์ออเดอร์ประมาณ 1 ล้านแผ่น แต่ในขณะที่มีแผ่นละเมิดลิขสิทธ์ออกวางตลาด ทำให้ตัวเลขพรีเซลล์ลดลงเหลือ 4 แสนแผ่น และหลังจากเข้าฉายไป 3 อาทิตย์ ตัวเลขเหลือเพียง 1.4 แสนแผ่นเท่านั้น ในระยะเวลารวมเพียง 3 เดือนเท่านั้น ในขณะที่เฉลี่ยค่าลิขสิทธิ์หนังไทยแต่ละเรื่องจะอยู่ที่ 2-5 ล้านบาท ถึงจุดคุ้มทุนที่ยอดขายประมาณ 2-3 แสนแผ่น ซึ่งต้นปีที่ผ่านมา มีหนังไทยเพียงเรื่องเดียวที่ถึงจุดคุ้มทุนในการจำหน่าย คือเรื่อง ต้มยำกุ้ง จากออเดอร์ 1 ล้านแผ่น
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น บริษัทฯจึงได้มีการขอพักการซื้อขายลิขสิทธิ์ เป็นการชั่วคราวไว้ก่อนในครึ่งปีหลังนี้กับทางสหมงคลฟิล์มและมงคลเมเจอร์ และจะมีผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ไปจนถึงสิ้นปี จากเดิมที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์กว่า 400 ล้านบาท จึงเหลือเพียง 200 ล้านบาท บริษัทฯยังเหลือภาระในการแบกรับต้นทุนไม่เกิน 300 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าลิขสิทธิ์ที่เหลือ 200 ล้านบาทให้แก่ทางสหมงคลฟิล์ม และมงคลเมเจอร์ที่ใช้ช่วงครึ่งปีแรก และค่าลิขสิทธิ์อื่นอีกประปรายสำหรับบริษัทอื่นๆ อีกไม่เกิน 100 ล้านบาท
โดยลิขสิทธิ์หนังจากการเซ็นสัญญากับทางสหมงคลฟิล์ม และมงคลเมเจอร์ที่อยู่ในมือนั้น ยังมีอยู่ประมาณ 10 เรื่อง เป็นหนังไทย 6 เรื่อง นอกจากนี้ในปี 2550 ก็ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งถ้าหากจะต้องมีการซื้อลิขสิทธิ์หนังต่อไป อาจจะมีการพิจารณาเป็นเรื่องๆไป รวมไปถึงจะหันมาใช้นโยบายการซื้อลิขสิทธิ์ในแบบรอยัลตี้ คือการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ต่อชิ้นแทนการซื้อแบบล่ำซำ หรือเหมาจ่าย โดยระบบรอยัลตี้ ถือเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังทำกำไรได้ตั้งแต่แผ่นแรกที่จำหน่าย
ปรับโมเดลธุรกิจ ผุดชอบไฟท์ติ้งแบรนด์สู้
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น บริษัท ป่องทรัพย์ จำกัด (มหาชน) และปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ก็เพื่อให้คู่ค้าส่วนใหญ่รับรู้ว่า บริษัทฯไม่ได้ทำธุรกิจเพียงแค่ร้านแมงป่องเพียงอย่างเดียว ส่วนโมเดลธุรกิจที่ปรับใหม่ภายใต้ “ป่องทรัพย์” ได้แก่ เอาท์เลทร้านแมงป่อง, ชอปแกรนดี้, นครไทยพิคเจอร์ ดูแลธุรกิจผลิตและสร้างภาพยนตร์, ค่ายเพลง ดังดัง และ Maxx ผู้ถือลิขสิทธิ์เพลงสากลจากประเทศเยอรมันและอังกฤษ
ในขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯมีสาขากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ และถือเป็นจุดแข็งของบริษัท ดังนั้น จึงจะเน้นมาลุยด้านฮาร์ดแวร์ มากขึ้น ล่าสุดเตรียมเปิดชอป “แกรนดี้” ขึ้นเป็นไฟท์ติ้งแบรนด์ สู้ในสถานการณ์นี้ โดยชอปแกรนดี้นั้น จะจับกลุ่มเป้าหมายตลาดล่างเป็นหลัก โดยสินค้าที่จำหน่ายนั้นจะมีเช่นเดียวกับร้านแมงป่องทุกประการ แต่มีราคาถูกกว่าตั้งแต่ 19 บาทขึ้นไป เน้นขายจำนวนมากกว่ากำไร
โดยชอปแกรนดี้นั้นจะเป็นการปรับจากร้านแมงป่องเดิมที่เปิดในสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส บิ๊กซี และสแตนอโลน จำนวนกว่า 50 สาขา รวมไปถึงคีออสอีก 200 จุด ตามโลตัส เอ็กซ์เพลส และแม็คโครก็จะปรับมาใช้ชื่อแกรนดี้เช่นเดียวกัน ส่วนร้านแมงป่องนั้น ขณะนี้ได้มีการปรับราคาสินค้ากู้สถานการณ์มากว่า 1 ปี ล่าสุดขณะนี้ปรับราคาลดลงไปแล้วกว่า 50%
ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทฯหันมาให้ความสำคัญกับฮาร์ดแวร์มากขึ้นแล้ว จะช่วยให้ยอดรายได้รวมอาจลดลงบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน การให้ความสำคัญกับจำนวนสินค้าที่ขาย จากชอปแกรนดี้ จะยังคงช่วยให้ยอดรายได้ลดลงบ้าง จากที่ตั้งไว้ 2,000-2,200 ล้านบาทในปีนี้