ตลาดนาฬิกาหรูไม่หวั่นปัจจัยลบเชื่อตลาดยังเติบโตและคนยังมีกำลังซื้อดีอยู่ แมคโครริชฯระบุครึ่งปีหลังตลาดยังสดใสจากการจัดงานนาฬิกาหลายงาน เล็งนำเข้าแบรนด์ใหม่ปีหน้าเจาะผู้หญิงไฮโซ ด้าน "พรีม่า ไทม์" ขอรอดูเศรษฐกิจก่อน ช่วงนี้ชะลอการลงทุนขยายสาขาเพิ่ม พร้อมปรับเป้ายอดขายลงกว่าครึ่ง ส่วนเมืองทองไซโกเน้นธีมสปอร์ตหวังดันยอดขายรวมโตกว่า 10% ดีเคเอสเอชปรับกลยุทธ์ครึ่งปีหลังใหม่หลังวืดเป้า เล็งขยายฐานลูกค้าใหม่ไปสู่นักศึกษาที่เพิ่งจบ
นายนนทิวัช ประภานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแมคโครริช เมโทร จำกัด ผู้นำเข้านาฬิกาแบรนด์เฟรดเดริค คองสตองท์ (Frederiqe Constan) และอัลพิน่า(Alpina) จากสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดนาฬิกาในปีนี้เชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังนี้มองว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากจะมีการจัดงานนาฬิกา(Watch Fair) หลายงานด้วยกัน อาทิ งาน "บางกอก เวิลด์ วอท์ช แอนด์ จิวเวลรี่ 2006" ที่สยามพารากอนในวันที่ 27 ก.ค.-14 ส.ค.49 ซึ่งในงานจะมีแบรนด์นาฬิกาดังกว่า 150 แบรนด์เข้าร่วมงาน ต่อจากนั้นก็จะทยอยมีงานนาฬิกาอีก 3-4 งาน เช่น งานวอท์ชแฟร์ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ จัดช่วงเดือนพ.ย.49 เป็นต้น
ในส่วนกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมพบว่ายังมีกำลังซื้อที่ดีอยู่ แต่อาจจะชะลอการใช้จ่ายลง เนื่องจากได้รับผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะมีการใช้จ่ายเงินจะมีมากขึ้น จากการจัดงานนาฬิกาหลายงาน และการทำโปรโมชั่นของห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
"ส่วนแนวโน้มการแข่งขันของตลาดนาฬิกามองว่าจะมีความรุนแรงขึ้น โดยแต่ละแบรนด์จะเน้นแข่งที่คุณภาพ ,วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ผลิต รวมถึงแข่งที่การเปิดตัวสินค้ารุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นสู่ตลาด" นายนนทิวัชกล่าว
แมคโครริชฯปั๊มยอดงานวอชท์แฟร์
นายนนทิวัช กล่าวด้วยว่า ภาพรวมครึ่งปีแรกของบริษัทฯพบว่ามีขึ้นลงสลับกันไป แต่โดยรวมยอดรายได้ถือว่าเติบโตขึ้น 8% ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรกพบว่ายอดรายได้เป็นไปตามเป้า แต่ช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมยอดขายตกลงไป เนื่องจากปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และวันหยุดยาว เป็นต้น ขณะที่ยอดรายได้ทั้งปีบริษัทฯคาดว่าจะเติบโตขึ้น 10% ทั้งนี้บริษัทฯคาดหวังยอดรายได้จากงานวอชท์แฟร์ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้จะมีกว่า 10 ล้านบาท แบ่งเป็นงานบางกอก เวิลด์ฯที่สยามพารากอน 4 ล้านบาท หรือยอดขายนาฬิกา 60 เรือน
นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนนำเข้าแบรนด์นาฬิกาใหม่จากสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเจาะกลุ่มผู้หญิงเป็นหลัก จากปัจจุบันบริษัทฯมี 2 แบรนด์ ได้แก่ เฟรดเดริค คองสตองท์ และอัลพิน่า ซึ่งระดับราคานาฬิกาของเฟรดเดริคฯเฉลี่ยประมาณ 5 หมื่นถึง 3 แสนบาท
ขณะที่ฐานลูกค้าปัจจุบันมีอยู่กว่า 5,000 ราย โดยกลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นกลุ่มไฮเอนด์ คนที่มีรสนิยม มีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ โดยในส่วนยอดการซื้อนาฬิกาต่อบิลของลูกค้าพบว่าไม่ได้ลดลง เพราะนาฬิกาของบริษัทฯมีหลากหลายคอลเลคชั่น ซึ่งในแต่ปีบริษัทฯจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ 4 คอลเลคชั่น
พรีม่า ไทม์ชะลอการลงทุน
นายณรัณ ธรรมาวรานุคุปต์ รองประธานบริษัทพรีม่า ไทม์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้านาฬิกาแบรนด์ต่างๆ อาทิ ปาเต็ก ฟิลิปส์, โชพาร์ด และโอเดอมาร์ส ปิเก้ (Audemars Piguet)เป็นต้น เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกที่ไม่ค่อยดี ราคาน้ำมันปรับขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในการซื้อนาฬิกา และหันไปเก็บเงินในธนาคารมากขึ้น แต่ในส่วนบริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะกลุ่มลูกค้าอยู่ในระดับบน อีกทั้งสินค้าแบรนด์หลักอย่างปาเต็ก ฟิลิปส์และโอเดอมาร์ส ปิเก้เป็นสินค้าที่มีการผลิตน้อยชิ้นในแต่ละปี
ส่วนแผนการลงทุนหรือการขยายสาขาร้านจำหน่ายนาฬิกาพรีม่า ไทม์เพิ่มนั้น ขณะนี้ยังไม่มีแผนคงต้องรอดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจก่อน โดยปัจจุบันร้านจำหน่ายพรีม่า ไทม์มี 3 สาขา ได้แก่ ที่ศูนย์การค้าเพนนินซูล่า , ดิ เอ็มโพเรียม ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มโลคอลหรือคนไทย คิดเป็นสัดส่วน 80% และต่างชาติ 20% ส่วนสาขาที่สยามพารากอนเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีนี้พบว่าลูกค้าจะแบ่งเป็นชาวต่างชาติ 50% และคนไทย 50%
ปัจจุบันบริษัทฯนำเข้านาฬิกาประมาณ 7-8 แบรนด์ โดยแบรนด์ที่ขายดี 3 อันดับแรก ได้แก่ โชพาร์ด, ปาเต็ก ฟิลิปส์,โอเดอมาร์ส ปิเก้ ซึ่งยอดขายของทั้ง 3 แบรนด์มีเกินกว่า 50% ของยอดรายได้ทั้งหมด
ล่าสุดในงานบางกอก เวิลด์ฯที่สยามพารากอนจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ บริษัทฯเตรียมส่งสินค้าเข้าร่วมงานกว่า 5 แบรนด์ อาทิ ปาเต็ก ฟิลิปส์และโชพาร์ด ฯลฯ โดยความคาดหวังในงานนี้คาดว่าทุกแบรนด์จะส่งคอลเลคชั่นใหม่สู่ตลาด ในด้านผู้ประกอบการแต่ละรายเชื่อว่ายอดรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม เพราะตัวผู้บริโภคพบว่ายังมีกำลังซื้อดีอยู่แต่ยังไม่มั่นใจในการซื้อสินค้า แต่หากทางผู้ประกอบการมีการทำตลาดและโปรโมชั่นก็เชื่อว่าผู้บริโภคจะมีการซื้อนาฬิกามากขึ้น
ภาพรวมยอดรายได้ของบริษัทฯครึ่งปีแรกที่ผ่านมาพบว่ายอดยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนเป้ารายได้ทั้งปีนี้ได้มีการปรับลดเป้าลง จากเดิมตั้งเป้าเติบโต 15-20% เหลือเติบโตขึ้น 5% เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ เช่น เศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง เป็นต้น
เมืองทองไซโกเน้นธีมสปอร์ต
นายภูริช มหาดำรงกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองทองไซโก จำกัด กล่าวว่า แนวการทำตลาดในปีนี้ของนาฬิกาไซโกบริษัทฯได้เตรียมงบตลาดเพิ่มขึ้น15% จากปีที่แล้ว โดยจะเน้นแนวคิด "สปอร์ต แอนด์ สปีด" เนื่องจากบริษัทฯเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันยนตรกรรมความเร็วระดับโลก หรือฟอร์มูล่า วัน โดยบริษัทฯได้นำเข้านาฬิการุ่นพิเศษ เพื่อเอาใจนักแข่ง เช่น รุ่นสปอร์ตทูร่า เอฟ 1 สามารถกันน้ำละคราบเปื้อนจากน้ำมันเครื่องได้ ฯลฯ นอกจากนี้บริษัทฯเตรียมเปิดตัวนาฬิกาสปอร์ตเจาะกลุ่มผู้หญิง 3 รุ่น ราคาประมาณ 10,000 บาท
สำหรับเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% โดยหากสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นปัจจัยลบดีขึ้นก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทฯจะปรับเป้ายอดรายได้เพิ่มขึ้นหรือเติบโตขึ้น 20% เพราะมองว่าผู้บริโภคจะมีความมั่นใจและกล้าที่จะซื้อสินค้ามากขึ้น
ส่วนปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ย ฯลฯ มองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดนาฬิกามากนัก โดยในครึ่งปีหลังนี้เชื่อว่าผู้บริโภคจะมีการตัดสินใจซื้อนาฬิกาอย่างรอบคอบมากขึ้น แต่ไม่ถึงกับชะลอการซื้อลง ตรงนี้สังเกตได้จากช่วงที่ผ่านมานาฬิกาที่มีจำนวนจำกัดจะได้รับผลตอบรับดี เพราะผู้บริโภคมองว่าเป็นสิ่งที่มีน้อยและมีความคุ้มค่า
ดีเคเอสเอชขยายฐานลูกค้าใหม่
นางสาวอารีรัตน์ กฤษณะสมิต ผู้จัดการผลิตภัณฑ์นาฬิกา บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) ผู้จัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์โบม แอนด์ เมอร์ซิแยร์, มงต์บลอง, โรเจอร์ ดูบุยส์ และหลุยส์ เออร์ราร์ด เปิดเผยว่า กลยุทธ์การทำตลาดครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯได้ปรับแผนใหม่ในการทำตลาด หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาพบว่ายอดขายลดลง 10% จากปีที่แล้ว เพราะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทำให้ผู้บริโภคหันไปเก็บเงินในธนาคารแทน ตรงนี้ส่งผลกระทบแง่ลบต่อตลาดนาฬิกาหรู พร้อมทั้งบริษัทฯได้เตรียมลดงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ลง 10-15% โดยจะเน้นทำกิจกรรมไปยังกลุ่มเป้าหมายระดับแมสมากขึ้น รวมถึงเล็งขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ เช่น ผู้ที่เพิ่งจบการศึกษา ผู้ที่เริ่มทำงาน เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทฯเตรียมเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโตขึ้น 10%