ส.อ.ท.ยอมรับปัญหาการเมืองที่คาราคาซัง ทำให้เริ่มสร้างความไม่มั่นใจต่อนักลงทุนต่างชาติ เรียกร้องฝ่ายการเมืองเร่งทำให้ปัญหายุติโดยเร็ว ขณะเดียวกันเตรียมหารือกับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” และหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อเร่งแก้ไขความเชื่อมั่นการลงทุน ก่อนมีผลกระทบมากกว่านี้
นายนิพนธ์ สุรพงษ์รักเจริญ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้แจ้งรายละเอียดที่แน่ชัดว่า ทำไมวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.) จึงไม่ได้เข้าร่วมในการสัมมนาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เกี่ยวกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน แจ้งเพียงว่าติดธุระเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การสัมมนายังมีต่อไป โดยเชิญตัวแทนจากธนาคารพาณิชย์มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งประเด็นสำคัญ กกร.มีมติร่วมกันว่าจะมีการจัดประชุมทุกเดือน
นายนิพนธ์ กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของการลงทุนขณะนี้ หากเป็นเรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจ ทั้งน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อ ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงมากนัก แต่สิ่งที่เอกชนเป็นห่วงคือ สถานการณ์การเมืองที่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ทั้งกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ลาออก และการเลือกตั้งที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไร ขณะที่รัฐบาลชุดใหม่ยังไม่แน่ชัด งบประมาณปีหน้ายังล่าช้า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะสร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุนในประเทศเท่านั้น แต่เริ่มส่งผลต่อนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น เห็นได้จากกรณี บริษัท ซีเกต เทคโนโลยี ที่ได้ตัดสินใจเลือกมาเลเซียเป็นฐานการลงทุนมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาท ประเด็นเหล่านี้ทาง ส.อ.ท.มีความเป็นห่วง เพราะนอกจากซีเกตฯ แล้ว นักลงทุนญี่ปุ่นที่เป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ในประเทศไทย ได้แสดงความกังวลเช่นกัน ดังนั้นในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ ส.อ.ท.ได้นัดรับประทานอาหารกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอทราบสถานการณ์และนโยบายการลงทุน รวมทั้งข้อเท็จจริงกรณีซีเกตฯ และภาวะการเมืองทั่วไป ขณะเดียวกัน ส.อ.ท.ได้นัดประชุมร่วมกับหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และจะชี้แจงถึงสถานการณ์ในประเทศ เพราะในภาวะเช่นนี้ ภาคเอกชนต้องร่วมกันชี้แจงและให้ข้อมูลที่ดีของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านลบมากกว่านี้
“ในขณะนี้ต่างประเทศเริ่มเป็นห่วงปัญหาการเมืองในไทยมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติปัญหา และกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งกรณีของญี่ปุ่นเริ่มเล็งที่จะลงทุนด้านยานยนต์ในประเทศเวียดนามบ้างแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ โครงการดีทรอยต์แห่งเอเชีย อาจได้รับผลกระทบ ด้านภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่ขึ้นอยู่กับภาคการเมืองจะต้องเร่งสร้างความชัดเจนโดยเร็ว” นายนิพนธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามผู้ประกอบการหลายราย ต่างมีความเห็นในทิศทางเดียวกัน คือ ต้องการให้ กกต.ลาออก เพราะเชื่อว่าจะยุติปัญหายืดเยื้อต่าง ๆ ลงได้
นายนิพนธ์ สุรพงษ์รักเจริญ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้แจ้งรายละเอียดที่แน่ชัดว่า ทำไมวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.) จึงไม่ได้เข้าร่วมในการสัมมนาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เกี่ยวกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน แจ้งเพียงว่าติดธุระเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การสัมมนายังมีต่อไป โดยเชิญตัวแทนจากธนาคารพาณิชย์มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งประเด็นสำคัญ กกร.มีมติร่วมกันว่าจะมีการจัดประชุมทุกเดือน
นายนิพนธ์ กล่าวว่า ในภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของการลงทุนขณะนี้ หากเป็นเรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจ ทั้งน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อ ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงมากนัก แต่สิ่งที่เอกชนเป็นห่วงคือ สถานการณ์การเมืองที่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ทั้งกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ลาออก และการเลือกตั้งที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไร ขณะที่รัฐบาลชุดใหม่ยังไม่แน่ชัด งบประมาณปีหน้ายังล่าช้า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะสร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุนในประเทศเท่านั้น แต่เริ่มส่งผลต่อนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น เห็นได้จากกรณี บริษัท ซีเกต เทคโนโลยี ที่ได้ตัดสินใจเลือกมาเลเซียเป็นฐานการลงทุนมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาท ประเด็นเหล่านี้ทาง ส.อ.ท.มีความเป็นห่วง เพราะนอกจากซีเกตฯ แล้ว นักลงทุนญี่ปุ่นที่เป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ในประเทศไทย ได้แสดงความกังวลเช่นกัน ดังนั้นในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ ส.อ.ท.ได้นัดรับประทานอาหารกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอทราบสถานการณ์และนโยบายการลงทุน รวมทั้งข้อเท็จจริงกรณีซีเกตฯ และภาวะการเมืองทั่วไป ขณะเดียวกัน ส.อ.ท.ได้นัดประชุมร่วมกับหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และจะชี้แจงถึงสถานการณ์ในประเทศ เพราะในภาวะเช่นนี้ ภาคเอกชนต้องร่วมกันชี้แจงและให้ข้อมูลที่ดีของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านลบมากกว่านี้
“ในขณะนี้ต่างประเทศเริ่มเป็นห่วงปัญหาการเมืองในไทยมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติปัญหา และกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งกรณีของญี่ปุ่นเริ่มเล็งที่จะลงทุนด้านยานยนต์ในประเทศเวียดนามบ้างแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ โครงการดีทรอยต์แห่งเอเชีย อาจได้รับผลกระทบ ด้านภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่ขึ้นอยู่กับภาคการเมืองจะต้องเร่งสร้างความชัดเจนโดยเร็ว” นายนิพนธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามผู้ประกอบการหลายราย ต่างมีความเห็นในทิศทางเดียวกัน คือ ต้องการให้ กกต.ลาออก เพราะเชื่อว่าจะยุติปัญหายืดเยื้อต่าง ๆ ลงได้