ส.อ.ท.ห่วงปัญหาน้ำมันแพงจะทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง โดยล่าสุดสินค้าคงทนยอดขายลดลงแล้ว ในขณะที่สินค้าพื้นฐานอย่างเช่น ผงซักฟอก ยาสีฟัน ยังคงมียอดขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4-5 แต่ก็ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เตรียมสอบถามผู้ประกอบการเพื่อขอทราบสถานะที่แท้จริง พร้อมระบุความไม่มั่นคงทางการเมืองส่งผลกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่เคยเข้ามาลงทุน อาจตัดสินใจไปลงทุนประเทศอื่น เช่น เวียดนาม แทน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตามที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ส.อ.ท.ห่วงว่าจะส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคในประเทศให้ชะลอตัวลง โดยล่าสุดสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าพื้นฐานอย่างรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ที่เครื่องยนต์ ซี.ซี.สูง ยอดขายลดลงแล้ว รวมถึงสินค้าคงทนต่าง ๆ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เริ่มมีสัญญาณยอดขายที่ลดลงบ้างแล้ว โดยบางรายการยอดขายลดลงร้อยละ 4-5
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยอดการบริโภคสินค้าพื้นฐาน เช่น ผงซักฟอก สบู่ และยาสีฟัน เป็นต้น จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากที่ชัดเจนมากนัก โดยในช่วง 4-5 เดือนแรกปีนี้ อัตราการบริโภคยังคงขยายตัวร้อยละ 4-5 ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มีอัตราการขยายตัวในระดับร้อยละ 6-10
นายสันติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ทราบสถานการณ์ ยอดขายสินค้า และสะท้อนถึงการบริโภคของประชาชน ส.อ.ท.จะทำหนังสือสอบถามไปยังผู้ประกอบการต่อไปว่า สภาพการจำหน่ายสินค้าโดยแท้จริงเป็นอย่างไรต่อไป และจะสอบถามไปยังเคาท์เตอร์ของบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ถึงยอดการจำหน่ายสินค้าด้วยว่าลดลงหรือไม่ อย่างไร
นายสันติ กล่าวว่า จากการเมืองที่ไม่มั่นคง ทำให้ความเชื่อมั่นของต่างชาติลดลงไป ได้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศที่ยังไม่เคยมีแผนการจะเข้ามาลงทุนในไทย อาจเปลี่ยนใจหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่มีความคล่องตัวกว่าในการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็น่าเป็นห่วงต่อเม็ดเงินลงทุนโดยตรงของต่างชาติที่จะเข้าประเทศไทยจะลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อผลิตแล้วส่งออกไปขายในต่างประเทศ ส่วนนี้ไม่น่าเป็นห่วง
ด้านนายสุชัย เจริญรัตนกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้มีสัญญาณการเมืองที่ไม่มั่นคง และอาจส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (FDI) อาจลดลงได้ เพราะขณะนี้หลายบริษัทที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มีท่าทีที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้ามาลงทุนในไทยหรือไม่ เพราะห่วงการเมืองที่อึมครึม ซึ่งรัฐบาลรักษาการจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตไปได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตามที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ส.อ.ท.ห่วงว่าจะส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคในประเทศให้ชะลอตัวลง โดยล่าสุดสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าพื้นฐานอย่างรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ที่เครื่องยนต์ ซี.ซี.สูง ยอดขายลดลงแล้ว รวมถึงสินค้าคงทนต่าง ๆ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เริ่มมีสัญญาณยอดขายที่ลดลงบ้างแล้ว โดยบางรายการยอดขายลดลงร้อยละ 4-5
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยอดการบริโภคสินค้าพื้นฐาน เช่น ผงซักฟอก สบู่ และยาสีฟัน เป็นต้น จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากที่ชัดเจนมากนัก โดยในช่วง 4-5 เดือนแรกปีนี้ อัตราการบริโภคยังคงขยายตัวร้อยละ 4-5 ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่มีอัตราการขยายตัวในระดับร้อยละ 6-10
นายสันติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ทราบสถานการณ์ ยอดขายสินค้า และสะท้อนถึงการบริโภคของประชาชน ส.อ.ท.จะทำหนังสือสอบถามไปยังผู้ประกอบการต่อไปว่า สภาพการจำหน่ายสินค้าโดยแท้จริงเป็นอย่างไรต่อไป และจะสอบถามไปยังเคาท์เตอร์ของบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ถึงยอดการจำหน่ายสินค้าด้วยว่าลดลงหรือไม่ อย่างไร
นายสันติ กล่าวว่า จากการเมืองที่ไม่มั่นคง ทำให้ความเชื่อมั่นของต่างชาติลดลงไป ได้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศที่ยังไม่เคยมีแผนการจะเข้ามาลงทุนในไทย อาจเปลี่ยนใจหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่มีความคล่องตัวกว่าในการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็น่าเป็นห่วงต่อเม็ดเงินลงทุนโดยตรงของต่างชาติที่จะเข้าประเทศไทยจะลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อผลิตแล้วส่งออกไปขายในต่างประเทศ ส่วนนี้ไม่น่าเป็นห่วง
ด้านนายสุชัย เจริญรัตนกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้มีสัญญาณการเมืองที่ไม่มั่นคง และอาจส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (FDI) อาจลดลงได้ เพราะขณะนี้หลายบริษัทที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มีท่าทีที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเข้ามาลงทุนในไทยหรือไม่ เพราะห่วงการเมืองที่อึมครึม ซึ่งรัฐบาลรักษาการจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตไปได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้