กระทรวงคมนาคมเตรียมปรับบทบาทท่าเรือเชียงแสน 1 เป็นท่าเรือท่องเที่ยวในอีก 2 ปีข้างหน้า หลังจากเปิดใช้ท่าเรือเชียงแสน 2 เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้านอธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำยอมรับอาจเปิดใช้ล่าช้าไปถึงกลางปีหน้า สาเหตุยังไม่ได้จัดทำงบประมาณปี 2550
นายถวัลรัตน์ อ่อนศิระ อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างไทยและจีนตอนใต้ หลังจากที่ปัจจุบันท่าเรือเชียงแสน 1 มีปริมาณสินค้านำเข้าและส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48 หลังจากเปิดดำเนินการและคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้วยความจำกัดของพื้นที่สำหรับคลังสินค้าในท่าเรือเชียงแสน 1 จะมีกำลังรองรับการขนส่งสินค้าเต็มความจุ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งรัดการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 ซึ่งเป็นท่าเรือแห่งใหม่ขนาด 400 ไร่ หรือใหญ่กว่าท่าเรือเดิมประมาณ 40 เท่า ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร ให้เปิดดำเนินการได้เร็วที่สุด
นายถวัลรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้กรมการขนส่งทางน้ำได้เบิกจ่ายงบประมาณปี 2549 ไปแล้วประมาณ 49 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าเวนคืนพื้นที่ แต่เนื่องจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ที่ล่าช้า ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ทำให้การเดินหน้าโครงการล่าช้าออกไปจนถึงกลางปี 2550 อย่างแน่นอน
ส่วนการปรับใช้พื้นที่ของท่าเรือเชียงแสน 1 หลังท่าเรือเชียงแสน 2 เปิดให้บริการ จะผันบทบาทของท่าเรือเชียงแสน 1 ไปเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว รองรับนักท่องเที่ยวจีนที่ปัจจุบันเดินทางท่องเที่ยวลงสู่ภาคใต้ปีละกว่า 10 ล้านคน โดยขณะนี้ได้เจรจากับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไว้แล้ว คาดว่าภายใน 2 ปี ททท.จะรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ไปบริหาร โดยการปรับบทบาทท่าเรือเชียงแสน 1 ไปใช้งานด้านการท่องเที่ยว จะช่วยให้กระแสคัดค้านของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงที่ระบุว่ารถที่เข้าไปรับสินค้าที่ท่าเรือ ทำให้เกิดแรงสะเทือนที่ทำลายโบราณสถานในพื้นที่มีน้อยลง
ด้านนายวันชัย ศารทูลทัต ปลัดกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าจะไม่ทบทวนแผนการพัฒนาโครงการอย่างแน่นอนแม้จะมีกระแสคัดค้าน เนื่องจากปัจจุบันปริมาณขนส่งสินค้าที่ผ่านท่าเรือเชียงแสน 1 ระหว่างไทยและจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ท่าเรือเชียงแสน 2 จึงมีความสำคัญต่อการขนส่งคมนาคม รวมถึงการค้าระหว่างประเทศในอนาคตของไทยเป็นอย่างมาก
นายถวัลรัตน์ อ่อนศิระ อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างไทยและจีนตอนใต้ หลังจากที่ปัจจุบันท่าเรือเชียงแสน 1 มีปริมาณสินค้านำเข้าและส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48 หลังจากเปิดดำเนินการและคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้วยความจำกัดของพื้นที่สำหรับคลังสินค้าในท่าเรือเชียงแสน 1 จะมีกำลังรองรับการขนส่งสินค้าเต็มความจุ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งรัดการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 ซึ่งเป็นท่าเรือแห่งใหม่ขนาด 400 ไร่ หรือใหญ่กว่าท่าเรือเดิมประมาณ 40 เท่า ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร ให้เปิดดำเนินการได้เร็วที่สุด
นายถวัลรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้กรมการขนส่งทางน้ำได้เบิกจ่ายงบประมาณปี 2549 ไปแล้วประมาณ 49 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าเวนคืนพื้นที่ แต่เนื่องจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ที่ล่าช้า ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ทำให้การเดินหน้าโครงการล่าช้าออกไปจนถึงกลางปี 2550 อย่างแน่นอน
ส่วนการปรับใช้พื้นที่ของท่าเรือเชียงแสน 1 หลังท่าเรือเชียงแสน 2 เปิดให้บริการ จะผันบทบาทของท่าเรือเชียงแสน 1 ไปเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว รองรับนักท่องเที่ยวจีนที่ปัจจุบันเดินทางท่องเที่ยวลงสู่ภาคใต้ปีละกว่า 10 ล้านคน โดยขณะนี้ได้เจรจากับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไว้แล้ว คาดว่าภายใน 2 ปี ททท.จะรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ไปบริหาร โดยการปรับบทบาทท่าเรือเชียงแสน 1 ไปใช้งานด้านการท่องเที่ยว จะช่วยให้กระแสคัดค้านของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงที่ระบุว่ารถที่เข้าไปรับสินค้าที่ท่าเรือ ทำให้เกิดแรงสะเทือนที่ทำลายโบราณสถานในพื้นที่มีน้อยลง
ด้านนายวันชัย ศารทูลทัต ปลัดกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าจะไม่ทบทวนแผนการพัฒนาโครงการอย่างแน่นอนแม้จะมีกระแสคัดค้าน เนื่องจากปัจจุบันปริมาณขนส่งสินค้าที่ผ่านท่าเรือเชียงแสน 1 ระหว่างไทยและจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ท่าเรือเชียงแสน 2 จึงมีความสำคัญต่อการขนส่งคมนาคม รวมถึงการค้าระหว่างประเทศในอนาคตของไทยเป็นอย่างมาก