ไทยน้ำทิพย์เผยยอดขายครึ่งปีแรกเติบโตแค่ 5% ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ เหตุ ปรับราคา ฝนตก เศรษฐกิจไม่ดี ลุยต่อ สปอร์ตและมิวสิคมาร์เก็ตติ้ง ผนึกพันธมิตรจัดกิจกรรมขยายฐานตลาดต่อเนื่อง เผยน้ำส้ม 25% สแปลช รั้งที่ 1 กลุ่มน้ำรวมผลไม้ผสมในกรุงเทพฯ
นายพรวุฒิ สารสิน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ ยอดขายของผลิตภัณฑ์บริษัทฯเติบโตขึ้น 3-5% แต่ไม่มากเท่ากับที่ตั้งเป้าเอาไว้ แต่ก็ถือเป็นอัตราที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ที่มีปัจจัยลบมากเช่น ราคาน้ำมัน ฝนตก และการปรับราคาน้ำอัดลมขึ้น 1 บาท ทำให้การเติบโตโดยรวมค่อนข้างชะลอตัวลงไปบ้าง
ขณะที่การทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทฯนั้น จะยังคงสานต่อกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งและมิวสิคมาร์เก็ตติ้งเป็นหลัก เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักของโค้กเป็นกลุ่มวัยรุ่นอยู่แล้ว การทำกลยุทธ์ดังกล่าวจึงตรงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมาก
อีกทั้งยังมีแผนที่จะผนึกกำลังกับพันธมิตรมากขึ้นในการจัดแคมเปญต่างๆหรือกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งล่าสุดได้ร่วมมือกับโรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ในการเปิด โคคาโคล่า เรด เล้าจน์ ที่เป็นจุดนัดพบของวัยรุ่นที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 4 ของโค้กทั่วโลกที่เปิดต่อจาก อเมริกา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์
“การทำกิจกรรมต่างๆของโค้ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงบอลโลกนี้ จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้แน่นอน แต่มากหรือน้อยแค่ไหนยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ เพราะว่าการแข่งขันฟุตบอลโลกยังไม่เสร็จสิ้น แต่โดยส่วนตัวแล้ว คงจะเป็นตัวเลขที่ดีแน่นอน และเมื่อจบแคมเปญฟุตบอลโลกที่โค้กเป็นสปอนเซอร์อย่างเป็นทางการแล้วก็จะมีกิจกรรมการตลาดและแคมเปญอื่นเข้ามาต่อเนื่อง”
นายพรวุฒิ กล่าวถึง การทำตลาดผลิตภัณฑ์น้ำส้มสแปลช 25% ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดเมื่อปีที่แล้วว่า จากการสำรวจของเอซีนีลเส็นพบว่า ช่วง 4 เดือนแรกที่วางจำหน่าย สแปลช น้ำส้ม 25% ลงสู่ตลาดแล้ว สามารถทำส่วนแบ่ง 14% ในช่องทางร้านค้าในกรุงเทพฯ และรั้งตำแหน่งที่ 2 ของตลาดน้ำรสผลไม้ในช่องทางดังกล่าวนี้ และล่าสุดขึ้นเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดรวมน้ำผลไม้ผสมในเขตกรุงเทพฯ
ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดนั้น โดยภาพรวมแล้วสแปลชยังรั้งตำแหน่งที่ 2 เพราะว่า ปัญหาที่บริษัทฯยังไม่สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมนั่นเอง ซึ่งภายหลังจากที่สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมในช่วงครึ่งปีหลังนี้แล้วคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้จะสามารถผลักดันให้น้ำส้มสแปลชมีส่วนแบ่งเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดน้ำส้ม 25% ได้แน่นอนทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในน้ำผลไม้รวมที่ 12% จากตลาดรวมกว่า 300 แบรนด์
นายพรวุฒิ สารสิน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ ยอดขายของผลิตภัณฑ์บริษัทฯเติบโตขึ้น 3-5% แต่ไม่มากเท่ากับที่ตั้งเป้าเอาไว้ แต่ก็ถือเป็นอัตราที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ที่มีปัจจัยลบมากเช่น ราคาน้ำมัน ฝนตก และการปรับราคาน้ำอัดลมขึ้น 1 บาท ทำให้การเติบโตโดยรวมค่อนข้างชะลอตัวลงไปบ้าง
ขณะที่การทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทฯนั้น จะยังคงสานต่อกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งและมิวสิคมาร์เก็ตติ้งเป็นหลัก เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักของโค้กเป็นกลุ่มวัยรุ่นอยู่แล้ว การทำกลยุทธ์ดังกล่าวจึงตรงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมาก
อีกทั้งยังมีแผนที่จะผนึกกำลังกับพันธมิตรมากขึ้นในการจัดแคมเปญต่างๆหรือกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งล่าสุดได้ร่วมมือกับโรงภาพยนตร์พารากอนซีนีเพล็กซ์ในการเปิด โคคาโคล่า เรด เล้าจน์ ที่เป็นจุดนัดพบของวัยรุ่นที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 4 ของโค้กทั่วโลกที่เปิดต่อจาก อเมริกา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์
“การทำกิจกรรมต่างๆของโค้ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงบอลโลกนี้ จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้แน่นอน แต่มากหรือน้อยแค่ไหนยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ เพราะว่าการแข่งขันฟุตบอลโลกยังไม่เสร็จสิ้น แต่โดยส่วนตัวแล้ว คงจะเป็นตัวเลขที่ดีแน่นอน และเมื่อจบแคมเปญฟุตบอลโลกที่โค้กเป็นสปอนเซอร์อย่างเป็นทางการแล้วก็จะมีกิจกรรมการตลาดและแคมเปญอื่นเข้ามาต่อเนื่อง”
นายพรวุฒิ กล่าวถึง การทำตลาดผลิตภัณฑ์น้ำส้มสแปลช 25% ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดเมื่อปีที่แล้วว่า จากการสำรวจของเอซีนีลเส็นพบว่า ช่วง 4 เดือนแรกที่วางจำหน่าย สแปลช น้ำส้ม 25% ลงสู่ตลาดแล้ว สามารถทำส่วนแบ่ง 14% ในช่องทางร้านค้าในกรุงเทพฯ และรั้งตำแหน่งที่ 2 ของตลาดน้ำรสผลไม้ในช่องทางดังกล่าวนี้ และล่าสุดขึ้นเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดรวมน้ำผลไม้ผสมในเขตกรุงเทพฯ
ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดนั้น โดยภาพรวมแล้วสแปลชยังรั้งตำแหน่งที่ 2 เพราะว่า ปัญหาที่บริษัทฯยังไม่สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมนั่นเอง ซึ่งภายหลังจากที่สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุมในช่วงครึ่งปีหลังนี้แล้วคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้จะสามารถผลักดันให้น้ำส้มสแปลชมีส่วนแบ่งเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดน้ำส้ม 25% ได้แน่นอนทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในน้ำผลไม้รวมที่ 12% จากตลาดรวมกว่า 300 แบรนด์