ส.ขอนแก่นยึดกลยุทธ์มัลติแบรนด์และราคาหลายระดับเป็นตัวทำตลาดยุคเศรษฐกิจไม่ดี ภายใต้งบลงทุนทั้งปี 30 ล้านบาท ล่าสุดนำเข้าเครื่องจักร 4 อิน 1 พร้อมปรับโฉมแพคเกจใหม่ให้แตกต่างจากคู่แข่ง ครึ่งปีหลังเล็งแตกไลน์ซีฟู้ด สแน็คแบรนด์ใหม่เล็งชื่อญี่ปุ่น “ยูมิ” หรือ “ไคเซน” เจาะกลุ่มเด็ก ตั้งเป้าภายใน 2 ปีกลุ่มสแน็คมีแชร์ 300 ล้านบาท ด้านตลาดส่งออกเดินหน้าเต็มสูบสอดรับครัวไทยสู่ครัวโลก เล็งส่งออกแหนมไปเวียดนามปีหน้า คาดยอดขายสิ้นปีนี้เติบโต15%
นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุตสาหกรรมอาหาร ส.ขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสุกร ภายใต้แบรนด์ “ส. ขอนแก่น” เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดีจะเน้นการใช้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ (Multi Brand Synergy) และมัลติเลเวล (Multi Level)ในเรื่องราคาที่หลากหลายในการทำตลาด เนื่องจากกังวลกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจไม่ดีที่จะหันมาประหยัดและทานข้าวในบ้านมากขึ้น
ในปีนี้จะทำแบบไม่หวังรายได้มากนัก เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งงบลงทุนทั้งปีบริษัทฯเตรียมไว้ 30 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนกว่า 20 ล้านบาทในการซื้อเครื่องจักรรุ่นใหม่สำหรับบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์ส. ขอนแก่นจากเยอรมัน ซึ่งรวม 4 ขั้นตอนการผลิตไว้ในเครื่องเดียว เนื่องจากบริษัทฯต้องการสร้างความแตกต่างให้แตกต่างจากสินค้าอื่น และเพิ่มกำลังสินค้าได้กว่าเท่าตัว รวมถึงในขณะนี้ได้เปลี่ยนโฉมแพคเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์ไปบ้างแล้ว ได้แก่ แหนมและไส้กรอกอีสาน และในช่วงต้นปีหน้าบริษัทฯคาดว่าจะสามารถปรับโฉมทุกผลิตภัณฑ์ของ ส.ขอนแก่นได้ทั้งหมด
แตกไลน์ซีฟู้ด สแน็คแบรนด์ใหม่เจาะกลุ่มเด็ก
ส่วนงบประมาณที่เหลืออีก 10 ล้านบาทบริษัทฯเตรียมใช้ลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ แบ่งเป็น การแตกไลน์ขนมขบเคี้ยวซีฟู้ด สแน็ค ภายใต้แบรนด์ใหม่ที่เป็นชื่อญี่ปุ่น ซึ่งมีอยู่ 2 ชื่อ ได้แก่ ยูมิและไคเซน ราคาสินค้า 5-10 บาท เพื่อเจาะตลาดกลุ่มเด็กนักเรียนที่มีรายได้น้อย รวมถึงการเปิดตัวซีฟู้ดส์ สแน็ค ภายใต้แบรนด์ออง-เทร่ ในราคา 20 บาทเจาะกลุ่มผู้ใหญ่
“การลงทุนในซีฟู้ด สแน็คใช้งบประมาณไม่มาก เนื่องจากเราจะให้บริษัทมหาชัย ซีฟู้ด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ผลิตอาหารทะเลแปรรูป เช่น ลูกชิ้นปลาแต้จิ๋ว เป็นผู้ผลิตให้ ส่วนด้านการจัดจำหน่ายจะให้บริษัทดีทแฮล์มเป็นผู้ดูแล”
ล่าสุดบริษัทฯได้ออกไลน์สินค้าใหม่ “หมูอบปรุงรสออง-เทร่ รสคลาสสิค” ราคา 25 บาท โดย คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในปีแรกประมาณ 30-40 ล้านบาท รวมถึงบริษัทฯยังตั้งเป้าหมายสินค้ากลุ่มสแน็คาภายใน 2 ปีนี้จะมีส่วนแบ่งการตลาด 3% จากตลาดรวม 12,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีแชร์เพียง 1%
ในส่วนของสินค้าเนื้อสุกรแปรรูปภายใต้ส.ขอนแก่น อาทิ หมูยอ, กุนเชียง และแหนม ฯลฯ ในช่วงที่ผ่านมาเติบโตไม่มาก เนื่องจากผู้บริโภคขาดการรับรู้ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะแหนมจะได้รับความนิยมและขายดีในช่วงเทศกาล ได้แก่ สงกรานต์, เลือกตั้งและปีใหม่ ดังนั้นแนวทางการตลาดสินค้าแหนม บริษัทฯจะชูเรื่องสุขภาพเป็นหลัก รวมถึงขยายฐานมาสู่กลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น เช่น ทำแหนมพร้อมทานขนาดเล็กและการนำพรีเซนเตอร์มาติดที่แพคเกจ เป็นต้น ปัจจุบัน ส.ขอนแก่นมีแชร์ในตลาดคอนวีเนียนสโตร์กว่า 70% จากตลาดกว่า 100 ล้านบาท ส่วนตลาดโมเดิร์นเทรดมีแชร์ 60% จากตลาด 600 ล้านบาท
ลุยส่งออกหนักสอดรับครัวไทยสู่ครัวโลก
นายเจริญ กล่าวถึงการทำตลาดในต่างประเทศว่า บริษัทฯสนับสนุนโครงการของภาครัฐ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันส่งสินค้าอาหารทะเลแปรรูปไปทำตลาดกว่า 10 ประเทศ อาทิ อเมริกา,ยุโรป และฮ่องกง ซึ่งตลาดในฮ่องกงบริษัทฯยังได้เริ่มโครงการนำร่องเปิดร้านในรูปแบบของเชนสโตร์ภายใต้ชื่อ “ส.มาร์ท” จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่นำไปประกอบอาหารไทย โดยแบ่งเป็นสินค้าของส.ขอนแก่น 30-40% และที่เหลือเป็นอาหารไทยของรายอื่น
“การลงทุนสาขาแรกบริษัทฯจะเป็นผู้ลงทุนเอง โดยให้ทางดีทแฮล์มที่ฮ่องกงเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นในอนาคตจะขายเป็นแฟรนไชส์ ซึ่งในเดือนหน้าบริษัทฯมีแผนเปิดร้านสาขาที่สองเพิ่ม เพื่อสอดคล้องกับนโยบายเผยแพร่อาหารไทยสู่ตลาดโลกและความต้องการของร้านอาหารไทยในต่างแดนที่มีมากขึ้นในอนาคต”
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนส่งแหนมไปทำตลาดที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม คาดว่าจะได้เห็นปี 2550 จากนั้นมองตลาดที่ลาวและกัมพูชา ฯลฯ ปัจจุบันรายได้จากการส่งออก คิดเป็น15%
สำหรับยอดรายได้สิ้นปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าที่ประมาณ 1,000-1,100 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตที่ 15% แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าพื้นบ้านหรือเนื้อสุกรแปรรูป คิดเป็น 65% , อาหารทะเลแปรรูป เช่น ลูกชิ้นปลาและลูกชิ้นทะเล 25% และอาหารขบเคี้ยว เช่น ออง-เทร่ 8-10% ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาพบว่ายอดรายได้เติบโตเกิน 10%