แมงป่องสุดเดือดพวกละเมิดลิขสิทธิ์ โวยปีเศษสูญเสียแล้วกว่า 500 ล้านบาท ตัวเลขจับกุมเพิ่มสูงจาก 20 คดีเป็น 100 กว่าคดีต่อเดือนแล้ว ล่าสุดพบเชนศูนย์เช่ารายใหญ่ละเมิดสิทธิ์จำหน่ายหนัง 3 เรื่องดังของค่ายสหมงคลฟิล์ม ทั้งๆที่ศูนย์ฯได้สิทธิ์แค่เช่าเท่านั้น ซ้ำร้ายยังตัดราคาขายถูกกว่าแมงป่องเสียอีก ออกหนังสือเตือนศูนย์เช่าหยุดด่วน ไม่งั้นเจอดีแน่
นายคณิต เหลืองศิริโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปีที่แล้วถึงเวลานี้บริษัทฯได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 500 ล้านบาทแล้วเป็นอย่างต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและธุรกิจอย่างมาก จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นมีการจับกุมผู้ละเมิดสิทธิ์เฉลี่ยเพียง 10-20 คดีต่อเดือนเท่านั้น แต่ขณะนี้พบว่าสูงถึง 100 กว่าคดีต่อเดือนแล้ว
โดยมาตรการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นแมงป่องได้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้งหน่ายเฉพาะกิจปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ออกตรวจสอบ ตามศูนย์เช่าทั่วประเทศอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการประสานงานและร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมตำรวจ , กรมทรัพย์สินทางปัญญา , กรมสอบสวนคดีพิเศษในการจับกุมผู้ละเมิดลิขสิทธิ์
ล่าสุดบริษัทฯได้ส่งทีมงานออกสำรวจตลาดและศูนย์เช่าขนาดใหญ่หลายแห่งกว่า 20-30 ร้านค้าในกรุงเทพฯ พบว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ยังมีอยู่ไม่ได้ลดลง โดยขณะนี้พบว่า หนังโรงอย่างน้อย 3 เรื่องคือ เรื่อง วาไรตี้ผีฉลุย เรื่องกระสือวาเลนไทน์ และเรื่อง ไฉไล ซึ่งทั้งสามเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของค่ายสหมงคลฟิล์มที่มอบสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายให้กับทางแมงป่องรับผิดชอบเพียงรายเดียว
อย่างไรก็ตามปรากฎว่าขณะนี้มีศูนย์เช่ารายใหญ่บางสาขาจากเดิมที่ศูนย์เช่าจะได้รับสิทธิ์ในการทำตลาดช่องทางการเช่าเท่านั้น ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ ด้วยการนำเอาหนังทั้งสามเรื่องนี้ออกวางจำหน่ายด้วย โดยได้นำเอาแผ่นที่ไว้สำหรับเช่ามาจำหน่ายให้กับลูกค้า ซึ่งถือเป็นความผิด นอกจากนั้นยังจำหน่ายราคาต่ำกว่าที่แมงป่องจำหน่ายอีกด้วย กล่าวคือ ทางศูนย์เช่าจำหน่ายประมาณ 79 บาทต่อเรื่อง ขณะที่ราคาของแมงป่องตั้งจำหน่ายไว้ประมาณ 89 บาท
“จากเหตุการณ์นี้บริษัทฯเตรียมทำหนังสือถึงศูนย์เช่าเหล่านั้นเพื่อให้หยุดการทำละเมิดสิทธิ์ดังกล่าวนั้นเพราะผิดกฎหมาย โดยแมงป่องเป็นเพียงรายเดียวที่ได้รับสิทธิ์จากเจ้าของหนังให้เป็นผู้จำหน่ายรายเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งความผิดโทษฐานเอาแผ่นเช่ามาจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีปรับไม่เกิน 4 แสนบาท ส่วนกรณีถ้าละเมิดสิทธิ์ในการผลิตและจำหน่ายด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 8 แสนบาท”
ก่อนหน้านี้บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน) โดยนางกิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร ประธานกรรมการบริหาร ระบุว่า ปัจจัยหลัก 3 ประการที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่อาจจะลดลงคือ ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นของการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายในสัดส่วนมากถึง 40% จากค่าใช้จ่ายรวม โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีค่าลิขสิทธิ์ตัดจ่ายเท่ากับ 135 ล้านบาทแล้ว
ผลกระทบนี้ทำให้บริษัทฯต้องหันมาปรับประมาณรายได้รวมในปีนี้ใหม่เหลือเพียงแค่ 2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 2,200 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2548 มีกำไรเหลือเพียง 4.34 ล้า นบาท จากเดิมที่เมื่อสิ้นปี 2547 มีกำๆรสุทธิสูงถึง 100 ล้านบาท นอกจากนั้นผลประกอบการของบริษัทฯตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่สี่ปีที่แล้ว ที่มีผลขาดทุนกว่า 12.34 ล้านบาท และต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีนี้ที่ขาดทุน 91.82 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าในไตรมาสที่สองผลประกอบการจะดีขึ้นแน่นอน แต่กำไรยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าเป็นอย่างไร และมั่นใจว่าช่วงไตรมาสสามจะกลับมาดีขึ้นอีกแน่นอน นอกจากนั้นยังเตรียมปรับรูปแบบร้านเช่นการตั้งวางหน้าร้าน และการแบ่งกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน ตามกำลังซื้อของลูกค้า โดยกลุ่มลูกค้าระดับบน สินค้ายังใช้ตรา "แมงป่อง" อยู่ ส่วนลูกค้าระดับกลางและระดับล่างจะออกตราสินค้าใหม่ 2-3 ตรา คาดว่าในเดือนหน้าจะเริ่มดำเนินการได้
นายคณิต เหลืองศิริโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปีที่แล้วถึงเวลานี้บริษัทฯได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่า 500 ล้านบาทแล้วเป็นอย่างต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและธุรกิจอย่างมาก จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นมีการจับกุมผู้ละเมิดสิทธิ์เฉลี่ยเพียง 10-20 คดีต่อเดือนเท่านั้น แต่ขณะนี้พบว่าสูงถึง 100 กว่าคดีต่อเดือนแล้ว
โดยมาตรการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นแมงป่องได้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้งหน่ายเฉพาะกิจปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ออกตรวจสอบ ตามศูนย์เช่าทั่วประเทศอย่างเคร่งครัด ตลอดจนการประสานงานและร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมตำรวจ , กรมทรัพย์สินทางปัญญา , กรมสอบสวนคดีพิเศษในการจับกุมผู้ละเมิดลิขสิทธิ์
ล่าสุดบริษัทฯได้ส่งทีมงานออกสำรวจตลาดและศูนย์เช่าขนาดใหญ่หลายแห่งกว่า 20-30 ร้านค้าในกรุงเทพฯ พบว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ยังมีอยู่ไม่ได้ลดลง โดยขณะนี้พบว่า หนังโรงอย่างน้อย 3 เรื่องคือ เรื่อง วาไรตี้ผีฉลุย เรื่องกระสือวาเลนไทน์ และเรื่อง ไฉไล ซึ่งทั้งสามเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของค่ายสหมงคลฟิล์มที่มอบสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายให้กับทางแมงป่องรับผิดชอบเพียงรายเดียว
อย่างไรก็ตามปรากฎว่าขณะนี้มีศูนย์เช่ารายใหญ่บางสาขาจากเดิมที่ศูนย์เช่าจะได้รับสิทธิ์ในการทำตลาดช่องทางการเช่าเท่านั้น ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ ด้วยการนำเอาหนังทั้งสามเรื่องนี้ออกวางจำหน่ายด้วย โดยได้นำเอาแผ่นที่ไว้สำหรับเช่ามาจำหน่ายให้กับลูกค้า ซึ่งถือเป็นความผิด นอกจากนั้นยังจำหน่ายราคาต่ำกว่าที่แมงป่องจำหน่ายอีกด้วย กล่าวคือ ทางศูนย์เช่าจำหน่ายประมาณ 79 บาทต่อเรื่อง ขณะที่ราคาของแมงป่องตั้งจำหน่ายไว้ประมาณ 89 บาท
“จากเหตุการณ์นี้บริษัทฯเตรียมทำหนังสือถึงศูนย์เช่าเหล่านั้นเพื่อให้หยุดการทำละเมิดสิทธิ์ดังกล่าวนั้นเพราะผิดกฎหมาย โดยแมงป่องเป็นเพียงรายเดียวที่ได้รับสิทธิ์จากเจ้าของหนังให้เป็นผู้จำหน่ายรายเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งความผิดโทษฐานเอาแผ่นเช่ามาจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีปรับไม่เกิน 4 แสนบาท ส่วนกรณีถ้าละเมิดสิทธิ์ในการผลิตและจำหน่ายด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 8 แสนบาท”
ก่อนหน้านี้บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน) โดยนางกิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร ประธานกรรมการบริหาร ระบุว่า ปัจจัยหลัก 3 ประการที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่อาจจะลดลงคือ ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นของการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายในสัดส่วนมากถึง 40% จากค่าใช้จ่ายรวม โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีค่าลิขสิทธิ์ตัดจ่ายเท่ากับ 135 ล้านบาทแล้ว
ผลกระทบนี้ทำให้บริษัทฯต้องหันมาปรับประมาณรายได้รวมในปีนี้ใหม่เหลือเพียงแค่ 2 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 2,200 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2548 มีกำไรเหลือเพียง 4.34 ล้า นบาท จากเดิมที่เมื่อสิ้นปี 2547 มีกำๆรสุทธิสูงถึง 100 ล้านบาท นอกจากนั้นผลประกอบการของบริษัทฯตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่สี่ปีที่แล้ว ที่มีผลขาดทุนกว่า 12.34 ล้านบาท และต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีนี้ที่ขาดทุน 91.82 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าในไตรมาสที่สองผลประกอบการจะดีขึ้นแน่นอน แต่กำไรยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าเป็นอย่างไร และมั่นใจว่าช่วงไตรมาสสามจะกลับมาดีขึ้นอีกแน่นอน นอกจากนั้นยังเตรียมปรับรูปแบบร้านเช่นการตั้งวางหน้าร้าน และการแบ่งกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน ตามกำลังซื้อของลูกค้า โดยกลุ่มลูกค้าระดับบน สินค้ายังใช้ตรา "แมงป่อง" อยู่ ส่วนลูกค้าระดับกลางและระดับล่างจะออกตราสินค้าใหม่ 2-3 ตรา คาดว่าในเดือนหน้าจะเริ่มดำเนินการได้