แบลคมอร์สโชว์ตัวเลขยอดขายครึ่งปีโตสวนเศรษฐกิจ เป็นเพราะขยายช่องทางขายเพิ่มและเปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มผิวพรรณ ปีนี้อัดงบการตลาด 50 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ไอเอ็มซี และอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง ล่าสุดหวังสร้างแบรนด์ผ่านการจัดงานมินิมาราธอน 2006 ตั้งเป้ายอดรายได้ทั้งปีโต15% ส่วนเรื่องการเปิดเอฟทีเอไทย-ออสเตรเลียพบว่าไม่ได้เปรียบ
นายศุภสินธุ์ คลองน้อย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แบลคมอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-มิ.ย.49) บริษัทฯคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 20% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการที่บริษัทฯได้ขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าเชน ฟาร์มาซี และมุ่งเน้นพัฒนาสาขาเดิมที่มีอยู่ให้เติบโต โดยปัจจุบันมีประมาณ 1,300 แห่ง
ประกอบกับบริษัทฯได้มีการเพิ่มไลน์สินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อผิวพรรณกลุ่มเรเดียน เรนจ์ มารีน คิว 10 และซีแอลเอ 1000 เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ คนระดับเอ,บี และซีบวก
“ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากคนยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองอยู่”
ดังนั้นแผนการดำเนินธุรกิจของแบลคมอร์สในครึ่งปีหลังจะเน้นการสร้างแบรนด์เป็นหลัก รวมถึงกลยุทธ์การสื่อสารไอเอ็มซี และอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้งในเชิงไลฟ์สไตล์และสังคม ภายใต้งบประมาณทางการตลาดทั้งปีรวม 50 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ใช้ไป 42 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือภาครัฐและเอกชนจัดมหกรรม “แบลคมอร์ส กรุงเทพฯ-ซิดนีย์ มินิมาราธอน 2006” ในวันที่ 23 ก.ค. 49 ชิงรางวัลกว่า 3 แสนราย โดยผู้ชนะจะเป็นตัวแทนคนไทยไปร่วมแข่งวิ่งที่ออสเตรเลีย พร้อมทั้งรณรงค์ให้คนรักสุขภาพได้มีส่วนร่วม ซึ่งรายได้จะถวายโครงการพระราชดำริของในหลวง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวโรกาสการครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปีของในหลวง รวมถึงฉลองความสัมพันธ์ระหว่างไทยและออสเตรเลียครบ 54 ปี
ขณะที่ภาพรวมยอดรายได้ทั้งปี2549นี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 15% จากปีที่แล้วที่มียอดรายได้ 300 ล้านบาทและมีอัตราการเติบโต 25-30% โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มวิตามินมียอดขายดีสุด คิดเป็นสัดส่วน 81%
สำหรับตลาดรวมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินในไทยที่ผ่านช่องทางร้านขายปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยตลาดยังแบ่งออกเป็น กลุ่มวิตามินและเกลือแร่ คิดเป็นสัดส่วน 40% และกลุ่มผิวพรรณอีก 60%
ทั้งนี้แบลคมอร์สเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากออสเตรเลีย ปัจจุบันมีเครือข่าย 8 ประเทศ อาทิ อังกฤษ,สิงคโปร์,มาเลเซีย,ฮ่องกง,ไทย เป็นต้น โดยในส่วนผลิตภัณฑ์มีกว่า 45 ชนิด สำหรับทุกเพศวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
นายศุภสินธุ์ กล่าวด้วยว่า ประเด็นการเปิดการค้าเสรีกับออสเตรเลียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ภาษีนำเข้าลดลงจากเดิม 10% เหลือ 5% ซึ่งภาพรวมบริษัทฯถือว่าไม่ได้เปรียบ เพราะบริษัทฯจ่ายเงินเป็นดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งช่วงที่ผ่านมาพบว่าแข็งค่าขึ้น 7%
ส่วนเรื่องต้นทุนค่าขนส่งสินค้าพบว่าเพิ่มขึ้น15% ตรงนี้บริษัทแม่ที่ออสเตรเลียเป็นผู้รับผิดชอบให้ และในช่วงนี้บริษัทฯยังไม่มีปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด
นายศุภสินธุ์ คลองน้อย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แบลคมอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-มิ.ย.49) บริษัทฯคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 20% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการที่บริษัทฯได้ขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าเชน ฟาร์มาซี และมุ่งเน้นพัฒนาสาขาเดิมที่มีอยู่ให้เติบโต โดยปัจจุบันมีประมาณ 1,300 แห่ง
ประกอบกับบริษัทฯได้มีการเพิ่มไลน์สินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อผิวพรรณกลุ่มเรเดียน เรนจ์ มารีน คิว 10 และซีแอลเอ 1000 เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ คนระดับเอ,บี และซีบวก
“ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากคนยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองอยู่”
ดังนั้นแผนการดำเนินธุรกิจของแบลคมอร์สในครึ่งปีหลังจะเน้นการสร้างแบรนด์เป็นหลัก รวมถึงกลยุทธ์การสื่อสารไอเอ็มซี และอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้งในเชิงไลฟ์สไตล์และสังคม ภายใต้งบประมาณทางการตลาดทั้งปีรวม 50 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ใช้ไป 42 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือภาครัฐและเอกชนจัดมหกรรม “แบลคมอร์ส กรุงเทพฯ-ซิดนีย์ มินิมาราธอน 2006” ในวันที่ 23 ก.ค. 49 ชิงรางวัลกว่า 3 แสนราย โดยผู้ชนะจะเป็นตัวแทนคนไทยไปร่วมแข่งวิ่งที่ออสเตรเลีย พร้อมทั้งรณรงค์ให้คนรักสุขภาพได้มีส่วนร่วม ซึ่งรายได้จะถวายโครงการพระราชดำริของในหลวง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวโรกาสการครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปีของในหลวง รวมถึงฉลองความสัมพันธ์ระหว่างไทยและออสเตรเลียครบ 54 ปี
ขณะที่ภาพรวมยอดรายได้ทั้งปี2549นี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 15% จากปีที่แล้วที่มียอดรายได้ 300 ล้านบาทและมีอัตราการเติบโต 25-30% โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มวิตามินมียอดขายดีสุด คิดเป็นสัดส่วน 81%
สำหรับตลาดรวมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินในไทยที่ผ่านช่องทางร้านขายปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยตลาดยังแบ่งออกเป็น กลุ่มวิตามินและเกลือแร่ คิดเป็นสัดส่วน 40% และกลุ่มผิวพรรณอีก 60%
ทั้งนี้แบลคมอร์สเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากออสเตรเลีย ปัจจุบันมีเครือข่าย 8 ประเทศ อาทิ อังกฤษ,สิงคโปร์,มาเลเซีย,ฮ่องกง,ไทย เป็นต้น โดยในส่วนผลิตภัณฑ์มีกว่า 45 ชนิด สำหรับทุกเพศวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
นายศุภสินธุ์ กล่าวด้วยว่า ประเด็นการเปิดการค้าเสรีกับออสเตรเลียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ภาษีนำเข้าลดลงจากเดิม 10% เหลือ 5% ซึ่งภาพรวมบริษัทฯถือว่าไม่ได้เปรียบ เพราะบริษัทฯจ่ายเงินเป็นดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งช่วงที่ผ่านมาพบว่าแข็งค่าขึ้น 7%
ส่วนเรื่องต้นทุนค่าขนส่งสินค้าพบว่าเพิ่มขึ้น15% ตรงนี้บริษัทแม่ที่ออสเตรเลียเป็นผู้รับผิดชอบให้ และในช่วงนี้บริษัทฯยังไม่มีปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด