มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยสำรวจฟุตบอลโลก 2006 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม โดยพบว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนรวม 35,500 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่พนันบอลประมาณ 19,500 ล้านบาท และกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยกว่า 5,000 บาท จะใช้เงินในการพนันบอลมากกว่ารายได้ที่ได้รับ
นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจฟุตบอลโลก 2006 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมว่าหอการค้าไทยสำรวจ 2,418 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-3 มิถุนายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับกรณีการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006 จะกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างไรบ้าง โดยผลสำรวจพฤติกรรมในการติดตามและการรับชมมหกรรมฟุตบอลโลก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่สนใจงานมหกรรมฟุตบอลโลกระดับร้อยละ 41.3 รองลงมาระดับปานกลางร้อยละ 23.2 และกลุ่มตัวอย่างจะติดตามผ่านโทรทัศน์ รองลงมาได้แก่ วิทยุ โดยจะเน้นดูกับครอบครัวเฉลี่ย 4 คน และกลุ่มเพื่อนๆ อีก 6 คน และสถานที่จะรับชมส่วนใหญ่ร้อยละ 77 จะชมที่บ้าน รองลงมาได้แก่ ร้านอาหารและสถานบันเทิง
สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงฟุตบอลโลก กลุ่มตัวอย่างจะมีพฤติกรรมใช้จ่ายสุราและไวน์มากที่สุด รองลงมาได้แก่ การพนันฟุตบอล การซื้อหนังสือพิมพ์ และผลสำรวจยังระบุว่าการใช้จ่ายโดยรวมช่วงฟุตบอลโลกร้อยละ 65 มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายจ่ายปกติในปัจจุบัน และร้อยละ 34 ค่าใช้จ่ายไม่เปลี่ยนแปลง จำนวนเงินโดยเฉลี่ยที่จะใช้จ่ายช่วงฟุตบอลโลก ผลสำรวจพบว่าค่าใช้จ่ายในมหกรรมฟุตบอล ได้แก่ การพนันบอล เม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 19,500 ล้านบาท รองลงมาคือซื้อโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ และการติดตั้งสัญญาณดาวเทียม โดยแบ่งเป็นวงเงินในการพนันบอลสูงถึง 20,223.5 บาทต่อคน ซื้อโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ 9,233.5 บาทต่อคน ติดตั้งสัญญาณดาวเทียม เคเบิล ทีวี 8,477.2 บาทต่อคน ทานอาหารนอกบ้าน 1,909.6 บาทต่อคน สังสรรค์จัดเลี้ยงในบ้าน 1,719 บาทต่อคน ซื้อสุราและไวน์ 1,556.8 บาทต่อคน ซื้อสินค้าของที่ระลึกของทีมบอล 1,488.2 บาทต่อคน ซื้อไปรษณียบัตร 1,059.3 บาทต่อคน ซื้อหนังสือพิมพ์ 814.9 บาทต่อคน ซื้อขนมขบเคี้ยว 647.9 บาทต่อคน
โดยผลสำรวจยังระบุจำนวนเงินที่เล่นต่อนัด เมื่อพิจารณาระดับอายุที่เล่นการพนันบอลพบว่าอายุระหว่าง 30-39 ปี มากที่สุด รองลงมาได้แก่ กลุ่มอายุ 26-29 ปี และอายุ 40-49 ปีตามลำดับ แต่สิ่งที่น่าวิตกในกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่เล่นพนันบอลโดยเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 10,000 บาท และเมื่อพิจารณาถึงระดับรายได้ของผู้เล่นพนันบอลพบว่าผู้ที่ระดับรายได้ยิ่งสูงจะพนันบอลมากตามระดับรายได้ที่สูงขึ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผู้มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท เล่นพนันบอลโดยเฉลี่ยสูงกว่าระดับรายได้ที่ตนเองได้รับในปัจจุบัน
นางยาใจ กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการเปิดให้มีพนันบอลอย่างถูกกฎหมาย พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 69.6 ไม่เห็นด้วย เพราะทำให้หลายคนติดการพนันมากขึ้น มีหนี้สินเพิ่มขึ้น และจากตัวอย่างของผลสำรวจเห็นว่าในช่วงมีมหกรรมฟุตบอลโลกจะส่งผลให้มีปัญหาอาชญากรรม โจรกรรม เพิ่มขึ้นมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ก่อให้เกิดหนี้สินเพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดการพนันผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่จากผลสำรวจศูนย์พบว่ามหกรรมฟุตบอลโลก 2006 จะทำให้คนไทยใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจรวมประมาณ 35,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการพนันประมาณ 19,500 ล้านบาท และกิจกรรมที่ถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 โดยใช้จ่ายที่สำคัญในสินค้ากลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 5,000 ล้านบาท กลุ่มโฆษณาและสิ่งพิมพ์ 4,000 ล้านบาท กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า การสื่อสาร และไปรษณีย์ 1,500 ล้านบาท กลุ่มอาหารและภัตตาคาร 1,000 ล้านบาท กลุ่มเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา 500 ล้านบาท และอื่นๆ อีก 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวจากเดิมร้อยละ 0.05-0.07 ซึ่งผลสำรวจยังไม่สามารถระบุการพนันที่นอกเหนือไปจากผลสำรวจ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเม็ดเงินจำนวนมากในระบบอีกด้วย
นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจฟุตบอลโลก 2006 ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมว่าหอการค้าไทยสำรวจ 2,418 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-3 มิถุนายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับกรณีการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006 จะกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างไรบ้าง โดยผลสำรวจพฤติกรรมในการติดตามและการรับชมมหกรรมฟุตบอลโลก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่สนใจงานมหกรรมฟุตบอลโลกระดับร้อยละ 41.3 รองลงมาระดับปานกลางร้อยละ 23.2 และกลุ่มตัวอย่างจะติดตามผ่านโทรทัศน์ รองลงมาได้แก่ วิทยุ โดยจะเน้นดูกับครอบครัวเฉลี่ย 4 คน และกลุ่มเพื่อนๆ อีก 6 คน และสถานที่จะรับชมส่วนใหญ่ร้อยละ 77 จะชมที่บ้าน รองลงมาได้แก่ ร้านอาหารและสถานบันเทิง
สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงฟุตบอลโลก กลุ่มตัวอย่างจะมีพฤติกรรมใช้จ่ายสุราและไวน์มากที่สุด รองลงมาได้แก่ การพนันฟุตบอล การซื้อหนังสือพิมพ์ และผลสำรวจยังระบุว่าการใช้จ่ายโดยรวมช่วงฟุตบอลโลกร้อยละ 65 มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายจ่ายปกติในปัจจุบัน และร้อยละ 34 ค่าใช้จ่ายไม่เปลี่ยนแปลง จำนวนเงินโดยเฉลี่ยที่จะใช้จ่ายช่วงฟุตบอลโลก ผลสำรวจพบว่าค่าใช้จ่ายในมหกรรมฟุตบอล ได้แก่ การพนันบอล เม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 19,500 ล้านบาท รองลงมาคือซื้อโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ และการติดตั้งสัญญาณดาวเทียม โดยแบ่งเป็นวงเงินในการพนันบอลสูงถึง 20,223.5 บาทต่อคน ซื้อโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ 9,233.5 บาทต่อคน ติดตั้งสัญญาณดาวเทียม เคเบิล ทีวี 8,477.2 บาทต่อคน ทานอาหารนอกบ้าน 1,909.6 บาทต่อคน สังสรรค์จัดเลี้ยงในบ้าน 1,719 บาทต่อคน ซื้อสุราและไวน์ 1,556.8 บาทต่อคน ซื้อสินค้าของที่ระลึกของทีมบอล 1,488.2 บาทต่อคน ซื้อไปรษณียบัตร 1,059.3 บาทต่อคน ซื้อหนังสือพิมพ์ 814.9 บาทต่อคน ซื้อขนมขบเคี้ยว 647.9 บาทต่อคน
โดยผลสำรวจยังระบุจำนวนเงินที่เล่นต่อนัด เมื่อพิจารณาระดับอายุที่เล่นการพนันบอลพบว่าอายุระหว่าง 30-39 ปี มากที่สุด รองลงมาได้แก่ กลุ่มอายุ 26-29 ปี และอายุ 40-49 ปีตามลำดับ แต่สิ่งที่น่าวิตกในกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่เล่นพนันบอลโดยเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 10,000 บาท และเมื่อพิจารณาถึงระดับรายได้ของผู้เล่นพนันบอลพบว่าผู้ที่ระดับรายได้ยิ่งสูงจะพนันบอลมากตามระดับรายได้ที่สูงขึ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผู้มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท เล่นพนันบอลโดยเฉลี่ยสูงกว่าระดับรายได้ที่ตนเองได้รับในปัจจุบัน
นางยาใจ กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการเปิดให้มีพนันบอลอย่างถูกกฎหมาย พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 69.6 ไม่เห็นด้วย เพราะทำให้หลายคนติดการพนันมากขึ้น มีหนี้สินเพิ่มขึ้น และจากตัวอย่างของผลสำรวจเห็นว่าในช่วงมีมหกรรมฟุตบอลโลกจะส่งผลให้มีปัญหาอาชญากรรม โจรกรรม เพิ่มขึ้นมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ก่อให้เกิดหนี้สินเพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดการพนันผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่จากผลสำรวจศูนย์พบว่ามหกรรมฟุตบอลโลก 2006 จะทำให้คนไทยใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจรวมประมาณ 35,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการพนันประมาณ 19,500 ล้านบาท และกิจกรรมที่ถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 15,000 ล้านบาท หรือใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10-15 โดยใช้จ่ายที่สำคัญในสินค้ากลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 5,000 ล้านบาท กลุ่มโฆษณาและสิ่งพิมพ์ 4,000 ล้านบาท กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า การสื่อสาร และไปรษณีย์ 1,500 ล้านบาท กลุ่มอาหารและภัตตาคาร 1,000 ล้านบาท กลุ่มเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา 500 ล้านบาท และอื่นๆ อีก 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวจากเดิมร้อยละ 0.05-0.07 ซึ่งผลสำรวจยังไม่สามารถระบุการพนันที่นอกเหนือไปจากผลสำรวจ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเม็ดเงินจำนวนมากในระบบอีกด้วย