เวิลด์แบงก์สะกิดไทยดุลบัญชีเดินสะพัดย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด หลังโดนปัญหาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยรุมเร้า พร้อมระบุเงินทุนภาคเอกชนไหลเข้าประเทศกำลังพัฒนาสูงเป็นประวัติการณ์เกือบ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่แล้ว โดยมีการแปรรูป และการเข้าซื้อกิจการเป็นปัจจัยหลัก
รายงานข่าวจากธนาคารโลกระบุว่า ธนาคารโลกได้จัดทำรายงานว่าด้วยการพัฒนาด้านการเงินของโลก โดยพบว่ามีเงินทุนภาคเอกชนที่ไหลเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2548 เป็นจำนวน 491,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการแปรรูปกิจการ การควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ การปรับโครงสร้างหนี้ภายนอก รวมทั้งการที่นักลงทุนให้ความสนใจในตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นกันมาก แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ทำให้ประเทศเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากสภาพตลาดโลกและบรรยากาศในการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะเดียวกันการรวมตลาดทางการเงินของโลกที่ใกล้ชิดมากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้บริหารระดับวางนโยบายทั้งในประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว ในการคงระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินให้ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การที่เงินทุนไหลเข้าไปยังประเทศกำลังพัฒนานี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทั้งความผันผวนของราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และความไม่สมดุลของการชำระเงินของโลกที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกขยายตัวร้อยละ 8.4 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 ในขณะที่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้รายได้ลดลงและทำให้การบริโภคชลอตัว แต่ภูมิภาคนี้กลับปรับตัวกับสภาพนี้ได้อย่างน่าแปลกใจ แต่มีเพียงไทยประเทศเดียวที่ดุลบัญชีเดินสะพัดย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัดคือมากกว่าร้อยละ 3 ของจีดีพี อัตราการขยายตัวของจีดีพีที่แท้จริงของไทยลดลงอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ในปี 2548 ส่วนในปี 2547 อยู่ที่ร้อยละ 6.1 ซึ่งเป็นผลมาจากพิบัติภัยสึนามิและน้ำมันแพง ซึ่งส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนเมื่อปีที่แล้ว
นายคาซี มาติน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ธนาคารโลกคาดหมายการขยายตัวของจีดีพีของไทยในปี 2549 อยู่ที่ร้อยละ 5 จากการส่งออกสินค้าและบริการที่ดีขึ้น การชลอตัวการนำเข้าซึ่งเป็นผลมาจากกรขยายตัวที่ลดลงของการลงทุน การลงทุนภาคเอกชนคาดหมายว่าจะลดลงเป็นปีที่ 2 ท่ามกลางสภาพราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และควรจะให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ ไปที่การดำเนินการในการเพิ่มระดับการผลิต