คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 ใน สปป.ลาว กำหนดผลิตไฟฟ้าจ่ายเข้าสู่ประเทศไทยปี 2556 ในอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 1.99 บาทต่อหน่วย ตลอดอายุสัญญา 25 ปี ซึ่งจะทำให้ไทยมีความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศมากขึ้น และเห็นชอบให้ใช้แนวทางการระงับข้อพิพาท โดยอนุญาโตตุลาการของฝ่ายไทยได้ ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทกันขึ้น
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เปิดเผยว่า การประชุม กพช.วันนี้( 23 พ.ค.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) โครงการน้ำงึม 2 และเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ สปป.ลาว โดยคาดว่าจะสามารถลงนามได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2549 นี้
ทั้งนี้ โครงการน้ำงึม 2 มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าขายเข้าระบบได้เฉลี่ยปีละ 2,310 ล้านหน่วย โดยกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในวันที่ 1 มกราคม 2556 ในอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 1.99 บาทต่อหน่วย ตลอดอายุสัญญา 25 ปี นับจากวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยและโครงการน้ำงึม 2 จะเชื่อมโยงกับระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงอุดรธานี 3 ด้วยระบบ 500 กิโลโวลต์ ความยาวสายส่งฝั่งไทยประมาณ 80 กิโลเมตร และฝั่ง สปป.ลาว ประมาณ 107 กิโลเมตร
สำหรับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการนี้ ได้แก่ บริษัท South East Asia Energy จำกัด ซึ่งประกอบด้วยผู้ลงทุน 7 ราย ดังนี้ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 28.5 สปป.ลาว ถือหุ้น ร้อยละ 25 บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 25 บริษัท บางกอก เอกเพรสเวย์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 12.5 บริษัท Shlapak Development ร้อยละ 4 บริษัท P.T. Construction & Irrigation จำกัด ร้อยละ 4 และบริษัท Team Consulting Engineering and Management จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 1
สำหรับร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 กระทำขึ้นภายใต้กรอบความเข้าใจที่รัฐบาลไทยร่วมลงนามไว้กับรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อส่งเสริมและให้ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว สำหรับจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยโครงการน้ำงึม 2 เป็นโครงการลำดับที่ 4 ต่อจากโครงการเทิน-หินบุน โครงการห้วยเฮาะ และโครงการน้ำเทิน 2 โดยประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมกัน ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ในการลดภาระการลงทุนของภาครัฐ และทำให้เกิดความหลากหลายของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า อันเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าไทย เช่นเดียวกับ สปป.ลาว จะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับไทย ซึ่งเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ยังนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 ประเทศให้เกิดขึ้น
ด้านนายไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบเกี่ยวกับการแก้ไขร่างสัญญาตามข้อเสนอของอัยการ คือ หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นให้สามารถใช้แนวทางการระงับข้อพิพาท โดยอนุญาโตตุลาการของฝ่ายไทยได้ จากเดิมที่จะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณา และให้ใช้การดำเนินการตามกฎหมายไทยเท่านั้น จากเดิมซึ่งให้ใช้ข้อกำหนดตามกฎหมายนานาชาติในการทำข้อตกลงกับลาว และหากมีปัญหาเรื่องการชำระเงินกู้ให้สามารถเปลี่ยนคู่สัญญากับรายใหม่ โดยใช้สัญญาตามเงื่อนไขเดิมได้ ซึ่งหลังจากที่ประชุม กพช. อนุมัติการซื้อขายไฟฟ้าน้ำงึม 2 แล้วจะเซ็นสัญญาระหว่างไทยกับลาวในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ โดยไฟฟ้าที่รับซื้อจากลาวจะนำมาใช้สำหรับประชาชนในภาคอีสานเป็นระยะเวลา 25 ปี โดยความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคอีสานปีนี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 2-3 แต่ในเชิงของความต้องการในเรื่องเตรียมพร้อมพลังงานไฟฟ้าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5 จากที่ใช้ไฟฟ้าประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งหลังจากลงนามแล้วจะเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ได้ จากนั้นจะเริ่มทดลองจ่ายไฟได้ในปี 2554
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เปิดเผยว่า การประชุม กพช.วันนี้( 23 พ.ค.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) โครงการน้ำงึม 2 และเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ สปป.ลาว โดยคาดว่าจะสามารถลงนามได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2549 นี้
ทั้งนี้ โครงการน้ำงึม 2 มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าขายเข้าระบบได้เฉลี่ยปีละ 2,310 ล้านหน่วย โดยกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในวันที่ 1 มกราคม 2556 ในอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 1.99 บาทต่อหน่วย ตลอดอายุสัญญา 25 ปี นับจากวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยและโครงการน้ำงึม 2 จะเชื่อมโยงกับระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงอุดรธานี 3 ด้วยระบบ 500 กิโลโวลต์ ความยาวสายส่งฝั่งไทยประมาณ 80 กิโลเมตร และฝั่ง สปป.ลาว ประมาณ 107 กิโลเมตร
สำหรับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการนี้ ได้แก่ บริษัท South East Asia Energy จำกัด ซึ่งประกอบด้วยผู้ลงทุน 7 ราย ดังนี้ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 28.5 สปป.ลาว ถือหุ้น ร้อยละ 25 บริษัท ราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 25 บริษัท บางกอก เอกเพรสเวย์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 12.5 บริษัท Shlapak Development ร้อยละ 4 บริษัท P.T. Construction & Irrigation จำกัด ร้อยละ 4 และบริษัท Team Consulting Engineering and Management จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 1
สำหรับร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 กระทำขึ้นภายใต้กรอบความเข้าใจที่รัฐบาลไทยร่วมลงนามไว้กับรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อส่งเสริมและให้ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว สำหรับจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยโครงการน้ำงึม 2 เป็นโครงการลำดับที่ 4 ต่อจากโครงการเทิน-หินบุน โครงการห้วยเฮาะ และโครงการน้ำเทิน 2 โดยประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมกัน ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ในการลดภาระการลงทุนของภาครัฐ และทำให้เกิดความหลากหลายของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า อันเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าไทย เช่นเดียวกับ สปป.ลาว จะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับไทย ซึ่งเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ยังนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 ประเทศให้เกิดขึ้น
ด้านนายไกรสีห์ กรรณสูต ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบเกี่ยวกับการแก้ไขร่างสัญญาตามข้อเสนอของอัยการ คือ หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นให้สามารถใช้แนวทางการระงับข้อพิพาท โดยอนุญาโตตุลาการของฝ่ายไทยได้ จากเดิมที่จะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณา และให้ใช้การดำเนินการตามกฎหมายไทยเท่านั้น จากเดิมซึ่งให้ใช้ข้อกำหนดตามกฎหมายนานาชาติในการทำข้อตกลงกับลาว และหากมีปัญหาเรื่องการชำระเงินกู้ให้สามารถเปลี่ยนคู่สัญญากับรายใหม่ โดยใช้สัญญาตามเงื่อนไขเดิมได้ ซึ่งหลังจากที่ประชุม กพช. อนุมัติการซื้อขายไฟฟ้าน้ำงึม 2 แล้วจะเซ็นสัญญาระหว่างไทยกับลาวในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ โดยไฟฟ้าที่รับซื้อจากลาวจะนำมาใช้สำหรับประชาชนในภาคอีสานเป็นระยะเวลา 25 ปี โดยความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคอีสานปีนี้ขยายตัวประมาณร้อยละ 2-3 แต่ในเชิงของความต้องการในเรื่องเตรียมพร้อมพลังงานไฟฟ้าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5 จากที่ใช้ไฟฟ้าประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งหลังจากลงนามแล้วจะเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ได้ จากนั้นจะเริ่มทดลองจ่ายไฟได้ในปี 2554