คณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) รับทราบความคืบหน้าขายข้าวหอมมะลิให้ตลาดจีน ระบุอยู่ระหว่างเจรจา คาดว่าจะลงนามสัญญาข้อตกลงได้ในเร็วๆ นี้ ย้ำ อคส.จะมีกำไรขายข้าวให้ตลาดจีนนี้ถึงกว่า 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน พร้อมชงเรื่องขอผ่อนผันค่าปรับของบริษัทซี.พี.ให้ที่ประชุม คชก.พิจารณาได้พิจารณาเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ใช้เป็นบรรทัดฐานต่อไป และตั้งคณะกรรมการเพื่อคัดเลือกคณะกรรมการสรรหา ผอ.อคส.คนใหม่ต่อไป
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาขายข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวส่งออกของ อคส.โดยตรงให้กับตลาดจีนในเมืองกวางจาว กวางโจวและเสฉวน คาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาการซื้อขายข้าวหอมมะลิล็อตแรกจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 ตันได้ในเร็วๆ นี้ และจะมีการซื้อขายข้าวจาก อคส.โดยตรงหลังจากนี้ไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขายข้าวในล็อตแรกนี้มีการคิดราคาและค่าดำเนินการส่งมอบและค่าใช้จ่ายอื่นๆไปยังปลายทางในราคาอยู่ที่ 794 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งจะทำให้ อคส.ได้กำไรไม่ต่ำกว่า 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และจะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะเวลานี้ตลาดจีนสนใจข้าวหอมมะลิจากไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีแม้ว่าราคาจะสูง แต่ผู้บริโภคชาวจีนยังสนใจที่จะบริโภคข้าวหอมมะลิจากไทยสูงขึ้นและสู้ราคาสูงได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบกรณีที่ทางบริษัทซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ได้ทำเรื่องขอผ่อนผันค่าปรับจากการรับมอบข้าวสารล่าช้าตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2544/2545 ซึ่งเป็นข้าวสารชนิดข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 จำนวนกว่า 6.2 ล้านตัน มูลค่ากว่า 109 ล้านบาท โดยบริษัทได้ชำระค่าข้าวให้กับ อคส.หมดแล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมาจำนวนบางโกดังมีปัญหาที่ไม่สามารถนำข้าวในบางโกดังออกไปส่งออกได้ ทำให้มีการรับมอบข้าวสารที่ล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งตามสัญญาหากมีการรับมอบล่าช้าบริษัทจะต้องถูกปรับให้กับ อคส.ในอัตราร้อยละ 0.2 ต่อวันของมูลค่าข้าวสารที่ยังไม่ได้รับมอบและค่าใช่จ่ายอื่น ๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 4.2 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นว่าน่าจะกำหนดรูปแบบให้เป็นมาตรฐานจึงได้เสนอให้ฝ่ายบริหารของ อคส.กลับไปดำเนินการเพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องนี้ต่อไปว่าจะมีการปรับหลักเกณฑ์หรือจะมีการอนุมัติผ่อนผันให้กับเอกชนกรณีเช่นนี้หรือไม่ เพื่อจะได้นำผลการพิจารณาของ คชก.ใช้เป็นบรรทัดฐานพิจารณาบริษัทผู้ส่งออกข้าวรายอื่นๆ ต่อไป
นายปานปรีย์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้มีการซักถามเกี่ยวกับความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับโครงสร้าง อคส.ให้เป็นองค์กรหารายได้นั้น ขณะนี้รูปแบบองค์กรหารายได้ใหม่ของ อคส.มีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังติดในเรื่องของระเบียบและวิธีการปฏิบัติอยู่บ้าง ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้ให้ฝ่ายบริหารกลับไปจัดทำรายละเอียดและให้บริษัทที่ปรึกษาเข้ามาร่วมรับฟังการปรับโครงสร้างด้วยในการประชุมบอร์ดครั้งต่อไป โดยครั้งใหม่จะให้ไปประชุมที่โกดังห้องเย็นของ อคส.ที่ราษฎร์บูรณะ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อจะได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นในการกำหนดปรับรูปแบบการหารายได้การคิดค่าเช่าของ อคส.ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการสอบถามถึงผลการพิจารณาพนักงาน อคส.ที่มติบอร์ดได้ให้ทางฝ่ายบริหาร อคส.กลับไปพิจารณาความผิดพนักงานทั้ง 11 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกบริษัทผู้ตรวจสอบข้าวไปก่อนหน้านี้นั้น โดยฝ่ายบริหารขอเวลาในการประชุมครั้งต่อไปน่าจะสามารถเสนอความผิดได้ นอกจากนี้ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่คัดเลือกคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) คนใหม่ คาดว่าคณะกรรมการคัดเลือกจะดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการสรรหาได้ภายในเวลา 1 เดือน และกลับมาเสนอบอร์ดได้พิจารณาก่อนที่จะประกาศสรรหา ผอ.อคส.คนใหม่ได้ต่อไป
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาขายข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวส่งออกของ อคส.โดยตรงให้กับตลาดจีนในเมืองกวางจาว กวางโจวและเสฉวน คาดว่าจะมีการลงนามในสัญญาการซื้อขายข้าวหอมมะลิล็อตแรกจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,000 ตันได้ในเร็วๆ นี้ และจะมีการซื้อขายข้าวจาก อคส.โดยตรงหลังจากนี้ไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขายข้าวในล็อตแรกนี้มีการคิดราคาและค่าดำเนินการส่งมอบและค่าใช้จ่ายอื่นๆไปยังปลายทางในราคาอยู่ที่ 794 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งจะทำให้ อคส.ได้กำไรไม่ต่ำกว่า 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และจะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะเวลานี้ตลาดจีนสนใจข้าวหอมมะลิจากไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพดีแม้ว่าราคาจะสูง แต่ผู้บริโภคชาวจีนยังสนใจที่จะบริโภคข้าวหอมมะลิจากไทยสูงขึ้นและสู้ราคาสูงได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบกรณีที่ทางบริษัทซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ได้ทำเรื่องขอผ่อนผันค่าปรับจากการรับมอบข้าวสารล่าช้าตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2544/2545 ซึ่งเป็นข้าวสารชนิดข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 จำนวนกว่า 6.2 ล้านตัน มูลค่ากว่า 109 ล้านบาท โดยบริษัทได้ชำระค่าข้าวให้กับ อคส.หมดแล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมาจำนวนบางโกดังมีปัญหาที่ไม่สามารถนำข้าวในบางโกดังออกไปส่งออกได้ ทำให้มีการรับมอบข้าวสารที่ล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งตามสัญญาหากมีการรับมอบล่าช้าบริษัทจะต้องถูกปรับให้กับ อคส.ในอัตราร้อยละ 0.2 ต่อวันของมูลค่าข้าวสารที่ยังไม่ได้รับมอบและค่าใช่จ่ายอื่น ๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 4.2 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นว่าน่าจะกำหนดรูปแบบให้เป็นมาตรฐานจึงได้เสนอให้ฝ่ายบริหารของ อคส.กลับไปดำเนินการเพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องนี้ต่อไปว่าจะมีการปรับหลักเกณฑ์หรือจะมีการอนุมัติผ่อนผันให้กับเอกชนกรณีเช่นนี้หรือไม่ เพื่อจะได้นำผลการพิจารณาของ คชก.ใช้เป็นบรรทัดฐานพิจารณาบริษัทผู้ส่งออกข้าวรายอื่นๆ ต่อไป
นายปานปรีย์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้มีการซักถามเกี่ยวกับความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับโครงสร้าง อคส.ให้เป็นองค์กรหารายได้นั้น ขณะนี้รูปแบบองค์กรหารายได้ใหม่ของ อคส.มีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังติดในเรื่องของระเบียบและวิธีการปฏิบัติอยู่บ้าง ดังนั้น ที่ประชุมจึงได้ให้ฝ่ายบริหารกลับไปจัดทำรายละเอียดและให้บริษัทที่ปรึกษาเข้ามาร่วมรับฟังการปรับโครงสร้างด้วยในการประชุมบอร์ดครั้งต่อไป โดยครั้งใหม่จะให้ไปประชุมที่โกดังห้องเย็นของ อคส.ที่ราษฎร์บูรณะ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อจะได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นในการกำหนดปรับรูปแบบการหารายได้การคิดค่าเช่าของ อคส.ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการสอบถามถึงผลการพิจารณาพนักงาน อคส.ที่มติบอร์ดได้ให้ทางฝ่ายบริหาร อคส.กลับไปพิจารณาความผิดพนักงานทั้ง 11 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกบริษัทผู้ตรวจสอบข้าวไปก่อนหน้านี้นั้น โดยฝ่ายบริหารขอเวลาในการประชุมครั้งต่อไปน่าจะสามารถเสนอความผิดได้ นอกจากนี้ที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่คัดเลือกคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) คนใหม่ คาดว่าคณะกรรมการคัดเลือกจะดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการสรรหาได้ภายในเวลา 1 เดือน และกลับมาเสนอบอร์ดได้พิจารณาก่อนที่จะประกาศสรรหา ผอ.อคส.คนใหม่ได้ต่อไป