“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” กำชับผู้ว่าฯ ซีอีโอให้เร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ สนับสนุนสินค้าโอท็อป จัดงานธงฟ้า และการให้ความรู้กับชุมชน เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย พร้อมย้ำให้ปรับการทำงานเป็นเชิงรุก เพื่อดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบนโยบายในการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอ เพื่อขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือโอท็อป ปี 2549 และชี้แจงเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 โดยระบุว่า ผู้ว่าฯ ซีอีโอ จะมีความสำคัญมากในการขับเคลื่อนประเทศไทย จึงขอความร่วมมือกับผู้ว่าฯ ซีอีโอ ให้ช่วยกันผลักดันประเทศในภาวะที่เศรษฐกิจต้องเผชิญสถานการณ์ราคาน้ำมันและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเชื่อว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาส 1 ปีนี้ จะเกินร้อยละ 5 เนื่องจากมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2548 ที่เติบโตร้อยละ 4.5 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจและสูงกว่าประเทศอื่น แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคก็ตาม โดยขอให้คนไทยทุกคนอย่าวิตกกังวล และขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจในประเทศไทย และหันมาร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจัง เพราะหากคนไทยไม่เชื่อมั่น ต่างชาติก็อาจจะขาดความเชื่อมั่นเช่นกัน
นายสมคิด ได้มอบนโยบาย 4 หัวข้อ ต่อผู้ว่าฯ ซีอีโอ คือ 1. เร่งผลักดันการใช้งบประมาณปี 2549 ที่จัดสรรให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ จำนวน 30,000 ล้านบาท เพราะขณะนี้มีการเบิกจ่ายเพียง 2,000-3,000 ล้านบาท เท่านั้น โดยในช่วงเวลาที่เหลืออยู่คือ พฤษภาคม-กันยายน ขอให้เร่งเบิกจ่ายและใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยต้องเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรค เพราะรัฐบาลจัดสรรเงินให้แล้ว หากผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไม่ใช้ ก็จะไม่มีใครได้ประโยชน์จากงบประมาณนี้ 2. ขอให้ผลักดันสินค้าโอท็อป ให้มีความเข้มแข็ง โดยให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไปคัดสรรร่วมกับคนในท้องถิ่น จัดประกวดเพื่อหาสินค้าประจำจังหวัดๆ ละ 3 สินค้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าโอท็อป โดยจะให้ บมจ.อสมท เป็นผู้ร่วมในการโปรโมทสินค้าของแต่ละจังหวัด ซึ่งผู้ว่าฯ ซีอีโอ จะต้องโปรโมทสินค้าประจำจังหวัดให้ได้รับความนิยม เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่จังหวัด จะต้องรู้ว่าสินค้าประจำจังหวัดคืออะไร หาซื้อได้ที่ใด นอกจากนี้ ยังให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ร่วมกับคณะกรรมการคัดสรรฯ จัดประกวดหมู่บ้านโอท็อปยอดเยี่ยม จำนวน 60 หมู่บ้าน จากทั้งหมด 76,000 หมู่บ้าน เพื่อเฉลิมพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใน "พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี" และเพื่อเป็นการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวและเพิ่มยอดขายสินค้าโอท็อปให้มากขึ้น โดยมั่นใจว่าหากมีหมู่บ้านโอท็อป จะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าโอท็อปในพี้นที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 และต้องการให้หมู่บ้านโอท็อปของไทยได้รับความนิยมเหมือนในญี่ปุ่น ย้ำว่าหากผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไม่สามารถคัดสรรได้ ก็ไม่สมควรจะเป็นผู้ว่าฯ ซีอีโอ ต่อไป
3. ให้ผู้ว่าราชจังหวัดทุกแห่งร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ในการจัดตลาดนัดสินค้าราคาถูกในวันเสาร์-อาทิตย์ เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และ 4. ให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ประสานงานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงการคลัง พัฒนาชุมชนหมู่บ้าน SML เพื่อยกระดับ โดยต้องมีการให้ความรู้ในเรื่องการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในลักษณะชุมชน และเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
นายสมคิด กล่าวอีกว่า เป็นห่วงปัญหาการขาดดุลการค้าในอนาคตที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จึงมีการสั่งการให้เร่งการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนภาคต่างประเทศ โดยต้องปรับให้มีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยต่อไปนี้ การลงทุนภาคต่างประเทศและการส่งออกจะต้องรุกไปหาตลาดต่างประเทศ เพื่อให้มีการลงทุนในไทย โดยไม่รอให้ต่างชาติเข้ามาเองเหมือนอดีตที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ในเรื่องการท่องเที่ยวก็จะต้องเร่งสร้างรายได้มากขึ้น เพื่อนำมาชดเชยต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทั้งนี้ หากเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้ ดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะดีขึ้น
“ต่อจากนี้ ไทยต้องทำงานเชิงรุก ไม่มีเวลาที่จะรอการเมือง หากทุกคนมีความกังวล และไม่กล้าทำอะไร เศรษฐกิจก็จะไม่สามารถเดินหน้าได้ ดังนั้น ทุกคนต้องร่วมกันทำงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะคนในประเทศจะต้องพูดถึงความมั่นใจ วันนี้เราไม่ได้มาแจกเงิน 30,000 ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวเป็นงบประมาณเก่าที่เบิกจ่ายไม่ทัน ดังนั้น ต้องเร่งการเบิกจ่ายเพื่อเร่งเศรษฐกิจในประเทศ” นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ ในวันนี้ มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ โดยผู้ว่าราชการจังหวัด 75 จังหวัด และผู้แทนคณะอนุกรรมการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (กอนตผ.) ทั้ง 5 ชุด เพื่อผนึกกำลังในการขับเคลื่อนโอท็อป ปี 2549
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบนโยบายในการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอ เพื่อขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือโอท็อป ปี 2549 และชี้แจงเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 โดยระบุว่า ผู้ว่าฯ ซีอีโอ จะมีความสำคัญมากในการขับเคลื่อนประเทศไทย จึงขอความร่วมมือกับผู้ว่าฯ ซีอีโอ ให้ช่วยกันผลักดันประเทศในภาวะที่เศรษฐกิจต้องเผชิญสถานการณ์ราคาน้ำมันและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเชื่อว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาส 1 ปีนี้ จะเกินร้อยละ 5 เนื่องจากมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2548 ที่เติบโตร้อยละ 4.5 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจและสูงกว่าประเทศอื่น แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคก็ตาม โดยขอให้คนไทยทุกคนอย่าวิตกกังวล และขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจในประเทศไทย และหันมาร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจัง เพราะหากคนไทยไม่เชื่อมั่น ต่างชาติก็อาจจะขาดความเชื่อมั่นเช่นกัน
นายสมคิด ได้มอบนโยบาย 4 หัวข้อ ต่อผู้ว่าฯ ซีอีโอ คือ 1. เร่งผลักดันการใช้งบประมาณปี 2549 ที่จัดสรรให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ จำนวน 30,000 ล้านบาท เพราะขณะนี้มีการเบิกจ่ายเพียง 2,000-3,000 ล้านบาท เท่านั้น โดยในช่วงเวลาที่เหลืออยู่คือ พฤษภาคม-กันยายน ขอให้เร่งเบิกจ่ายและใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยต้องเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรค เพราะรัฐบาลจัดสรรเงินให้แล้ว หากผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไม่ใช้ ก็จะไม่มีใครได้ประโยชน์จากงบประมาณนี้ 2. ขอให้ผลักดันสินค้าโอท็อป ให้มีความเข้มแข็ง โดยให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไปคัดสรรร่วมกับคนในท้องถิ่น จัดประกวดเพื่อหาสินค้าประจำจังหวัดๆ ละ 3 สินค้า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าโอท็อป โดยจะให้ บมจ.อสมท เป็นผู้ร่วมในการโปรโมทสินค้าของแต่ละจังหวัด ซึ่งผู้ว่าฯ ซีอีโอ จะต้องโปรโมทสินค้าประจำจังหวัดให้ได้รับความนิยม เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่จังหวัด จะต้องรู้ว่าสินค้าประจำจังหวัดคืออะไร หาซื้อได้ที่ใด นอกจากนี้ ยังให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ร่วมกับคณะกรรมการคัดสรรฯ จัดประกวดหมู่บ้านโอท็อปยอดเยี่ยม จำนวน 60 หมู่บ้าน จากทั้งหมด 76,000 หมู่บ้าน เพื่อเฉลิมพระเกียรติ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใน "พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี" และเพื่อเป็นการให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวและเพิ่มยอดขายสินค้าโอท็อปให้มากขึ้น โดยมั่นใจว่าหากมีหมู่บ้านโอท็อป จะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าโอท็อปในพี้นที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 และต้องการให้หมู่บ้านโอท็อปของไทยได้รับความนิยมเหมือนในญี่ปุ่น ย้ำว่าหากผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไม่สามารถคัดสรรได้ ก็ไม่สมควรจะเป็นผู้ว่าฯ ซีอีโอ ต่อไป
3. ให้ผู้ว่าราชจังหวัดทุกแห่งร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ในการจัดตลาดนัดสินค้าราคาถูกในวันเสาร์-อาทิตย์ เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และ 4. ให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ประสานงานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงการคลัง พัฒนาชุมชนหมู่บ้าน SML เพื่อยกระดับ โดยต้องมีการให้ความรู้ในเรื่องการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในลักษณะชุมชน และเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
นายสมคิด กล่าวอีกว่า เป็นห่วงปัญหาการขาดดุลการค้าในอนาคตที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จึงมีการสั่งการให้เร่งการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนภาคต่างประเทศ โดยต้องปรับให้มีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยต่อไปนี้ การลงทุนภาคต่างประเทศและการส่งออกจะต้องรุกไปหาตลาดต่างประเทศ เพื่อให้มีการลงทุนในไทย โดยไม่รอให้ต่างชาติเข้ามาเองเหมือนอดีตที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ในเรื่องการท่องเที่ยวก็จะต้องเร่งสร้างรายได้มากขึ้น เพื่อนำมาชดเชยต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทั้งนี้ หากเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้ ดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะดีขึ้น
“ต่อจากนี้ ไทยต้องทำงานเชิงรุก ไม่มีเวลาที่จะรอการเมือง หากทุกคนมีความกังวล และไม่กล้าทำอะไร เศรษฐกิจก็จะไม่สามารถเดินหน้าได้ ดังนั้น ทุกคนต้องร่วมกันทำงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะคนในประเทศจะต้องพูดถึงความมั่นใจ วันนี้เราไม่ได้มาแจกเงิน 30,000 ล้านบาท งบประมาณดังกล่าวเป็นงบประมาณเก่าที่เบิกจ่ายไม่ทัน ดังนั้น ต้องเร่งการเบิกจ่ายเพื่อเร่งเศรษฐกิจในประเทศ” นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ ในวันนี้ มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ โดยผู้ว่าราชการจังหวัด 75 จังหวัด และผู้แทนคณะอนุกรรมการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (กอนตผ.) ทั้ง 5 ชุด เพื่อผนึกกำลังในการขับเคลื่อนโอท็อป ปี 2549