อสมท เล็งปรับค่าโฆษณาเฉพาะรายการเรตติ้งสูง คาดผลงานไตรมาส 2 เติบโตโดดเด่น เพราะจะมีรายได้จากงานโฆษณาบอลโลกและการเลือกตั้ง หลังไตรมาสแรกโต 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน ยันปี 49 จ่ายปันผลได้ตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ เดินหน้ารุกธุรกิจวิทยุต่อเนื่องตั้งเป้ารายได้จากคลื่นลูกทุ่งมหานครเกือบ 20 ล้านบาทต่อเดือน ฟุ้งนักลงทุนต่างชาติสนใจหุ้นเพิ่มหลังเดินสายโรดโชว์
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (MCOT) เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่สองปีนี้น่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นเนื่องจากในไตรมาสดังกล่าวจะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งบริษัทเป็นผู้ดำเนินการถ่ายทอด และจะมีรายการพิเศษต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลกอีกด้วย เพราะในช่วงดังกล่าวจะมีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้นจากทุกพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งมาสู่สื่อทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์มากขึ้นหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เลือกตั้งใหม่ รวมทั้งปรับผังรายการเป็นสถานีฟุตบอลโลก ซึ่งจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรการปรับโฉมวิทยุโมเดิร์น เรดิโอ ในเฟสที่ 2 และจัดกิจกรรมการตลาดต่างๆ เช่น การจัดคอนเสิร์ตศิลปินทั้งในและต่างประเทศ จึงคาดว่าจะทำให้มีรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้น
โดยปีนี้บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิให้เติบโตในระดับ 25% หลังจากที่บริษัทนำรายการวิทยุกลับมาดำเนินการเอง ซึ่งจะเน้นบริหารจัดการให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด พร้อมตั้งเป้ารายได้จากคลื่นลูกทุ่งมหานคร FM 95 MHz ในปี 2549 ไว้ที่ 15-20 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมที่มีรายได้อยู่ที่ 10-12 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทนำคลื่นวิทยุกลับมาบริหารเองทำให้ผลประกอบการทางด้านวิทยุมีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะที่รายการโทรทัศน์ก็ยังคงเป็นรายได้หลักของ MCOT อยู่ ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะปรับอัตราค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายการที่ได้รับความนิยมและมีเม็ดเงินโฆษณาไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น รายการกบนอกกะลา คุยคุ้ยข่าว สุริวิภา และ ICON เป็นต้น และอัตราค่าโฆษณาที่จะปรับเพิ่มยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากจะต้องดูข้อมูลต่างๆ ประกอบด้วย นอกจากนี้บริษัทจะร่วมมือกับพันธมิตรโดยเปิดตัวรายการใหม่ที่จะสร้างสีสันให้วงการโทรทัศน์ไทยภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยรายการใหม่นี้จะปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
นายมิ่งขวัญ กล่าวถึงการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในรอบบัญชีปี 2549 (เดือนมกราคม-กันยายน) ว่าบริษัทคาดว่าน่าจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิแต่ถ้าหากผลการดำเนินงานในปีนี้ดีกว่าที่ผ่านมาอาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลมากกว่า 40% ก็ได้ ทั้งนี้ บริษัทมีกระแสเงินสดในปัจจุบันทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่มีแผนที่จะใช้เงินจำนวนดังกล่าวไปลงทุน และการลงทุนแต่ละครั้งจะต้องได้รับมติจากบอร์ดของ อสมท ก่อน ซึ่งขณะนี้ตนกำลังจะพ้นวาระในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในเดือนกรกฎาคมนี้ หากจะเข้าลงทุนใดๆ เพิ่มเติมก็จะต้องรอหลังได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท ให้เข้าดำรงตำแหน่งในวาระ 2 ก่อน ซึ่งหลังจากนั้นจะมีการแถลงวิสัยทัศน์และนโยบายการลงทุน รวมทั้งแนวทางการบริหารงานของ อสมท ต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2549 นายมิ่งขวัญจะหมดวาระในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ MCOT คาดว่าถ้าหากตนได้รับตำแหน่งต่ออีกวาระก็จะพยายามพัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้า และเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งสานต่อนโยบายที่ดำเนินการอยู่ต่อไป
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้เดินทางไปเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนต่างชาติ (โรดโชว์) นั้นพบว่านักลงทุนให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของ MCOT มากขึ้น เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนเป็นโมฆะคาดว่าภาพรวมในตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้น และนักลงทุนต่างชาติก็น่าจะหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก อสมท ปี 49 พบว่ามีกำไรสุทธิ 316 ล้านบาท หรือ เติบโตขึ้น 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 252 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเติบโตเกินกว่าเป้าหมายท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนในไตรมาสแรก ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ลดเม็ดเงินโฆษณา แต่ อสมท ยังเติบโตได้ในอัตราที่น่าพอใจและถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่สี่
ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากโทรทัศน์ 580 ล้านบาท หลังจากที่ อสมท ร่วมผลิตรายการโทรทัศน์และผลิตรายการเองมากขึ้น จึงทำให้รายการของสถานีได้รับความนิยมและสามารถขายโฆษณาได้มากขึ้น โดยเป็นรายได้โฆษณาจากภาคเอกชน 65% และเป็นการโฆษณาจากภาคราชการ 35% โดยมีอัตราการขายโฆษณาในปัจจุบันประมาณ 85% ส่วนรายได้ของวิทยุเติบโตอย่างเป็นได้ชัด หลังจากนำคลื่นวิทยุกลับมาบริหารเอง โดยมีรายได้ 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% และตั้งเป้าที่จะทำให้รายได้ในส่วยวิทยุแต่ละคลื่นเฉลี่ยอยู่ที่ 15-20 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียง 9%
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (MCOT) เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่สองปีนี้น่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นเนื่องจากในไตรมาสดังกล่าวจะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งบริษัทเป็นผู้ดำเนินการถ่ายทอด และจะมีรายการพิเศษต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลโลกอีกด้วย เพราะในช่วงดังกล่าวจะมีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้นจากทุกพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งมาสู่สื่อทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์มากขึ้นหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เลือกตั้งใหม่ รวมทั้งปรับผังรายการเป็นสถานีฟุตบอลโลก ซึ่งจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรการปรับโฉมวิทยุโมเดิร์น เรดิโอ ในเฟสที่ 2 และจัดกิจกรรมการตลาดต่างๆ เช่น การจัดคอนเสิร์ตศิลปินทั้งในและต่างประเทศ จึงคาดว่าจะทำให้มีรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้น
โดยปีนี้บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิให้เติบโตในระดับ 25% หลังจากที่บริษัทนำรายการวิทยุกลับมาดำเนินการเอง ซึ่งจะเน้นบริหารจัดการให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด พร้อมตั้งเป้ารายได้จากคลื่นลูกทุ่งมหานคร FM 95 MHz ในปี 2549 ไว้ที่ 15-20 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมที่มีรายได้อยู่ที่ 10-12 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้หลังจากที่บริษัทนำคลื่นวิทยุกลับมาบริหารเองทำให้ผลประกอบการทางด้านวิทยุมีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะที่รายการโทรทัศน์ก็ยังคงเป็นรายได้หลักของ MCOT อยู่ ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะปรับอัตราค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายการที่ได้รับความนิยมและมีเม็ดเงินโฆษณาไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น รายการกบนอกกะลา คุยคุ้ยข่าว สุริวิภา และ ICON เป็นต้น และอัตราค่าโฆษณาที่จะปรับเพิ่มยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากจะต้องดูข้อมูลต่างๆ ประกอบด้วย นอกจากนี้บริษัทจะร่วมมือกับพันธมิตรโดยเปิดตัวรายการใหม่ที่จะสร้างสีสันให้วงการโทรทัศน์ไทยภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยรายการใหม่นี้จะปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
นายมิ่งขวัญ กล่าวถึงการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในรอบบัญชีปี 2549 (เดือนมกราคม-กันยายน) ว่าบริษัทคาดว่าน่าจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิแต่ถ้าหากผลการดำเนินงานในปีนี้ดีกว่าที่ผ่านมาอาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลมากกว่า 40% ก็ได้ ทั้งนี้ บริษัทมีกระแสเงินสดในปัจจุบันทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่มีแผนที่จะใช้เงินจำนวนดังกล่าวไปลงทุน และการลงทุนแต่ละครั้งจะต้องได้รับมติจากบอร์ดของ อสมท ก่อน ซึ่งขณะนี้ตนกำลังจะพ้นวาระในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในเดือนกรกฎาคมนี้ หากจะเข้าลงทุนใดๆ เพิ่มเติมก็จะต้องรอหลังได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท ให้เข้าดำรงตำแหน่งในวาระ 2 ก่อน ซึ่งหลังจากนั้นจะมีการแถลงวิสัยทัศน์และนโยบายการลงทุน รวมทั้งแนวทางการบริหารงานของ อสมท ต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2549 นายมิ่งขวัญจะหมดวาระในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ MCOT คาดว่าถ้าหากตนได้รับตำแหน่งต่ออีกวาระก็จะพยายามพัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้า และเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งสานต่อนโยบายที่ดำเนินการอยู่ต่อไป
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้เดินทางไปเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนต่างชาติ (โรดโชว์) นั้นพบว่านักลงทุนให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของ MCOT มากขึ้น เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนเป็นโมฆะคาดว่าภาพรวมในตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้น และนักลงทุนต่างชาติก็น่าจะหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก อสมท ปี 49 พบว่ามีกำไรสุทธิ 316 ล้านบาท หรือ เติบโตขึ้น 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 252 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเติบโตเกินกว่าเป้าหมายท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนในไตรมาสแรก ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ลดเม็ดเงินโฆษณา แต่ อสมท ยังเติบโตได้ในอัตราที่น่าพอใจและถือเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่สี่
ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากโทรทัศน์ 580 ล้านบาท หลังจากที่ อสมท ร่วมผลิตรายการโทรทัศน์และผลิตรายการเองมากขึ้น จึงทำให้รายการของสถานีได้รับความนิยมและสามารถขายโฆษณาได้มากขึ้น โดยเป็นรายได้โฆษณาจากภาคเอกชน 65% และเป็นการโฆษณาจากภาคราชการ 35% โดยมีอัตราการขายโฆษณาในปัจจุบันประมาณ 85% ส่วนรายได้ของวิทยุเติบโตอย่างเป็นได้ชัด หลังจากนำคลื่นวิทยุกลับมาบริหารเอง โดยมีรายได้ 177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% และตั้งเป้าที่จะทำให้รายได้ในส่วยวิทยุแต่ละคลื่นเฉลี่ยอยู่ที่ 15-20 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียง 9%