รมว.พลังงานเตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการบรรเทาปัญหาน้ำมันแพง โดยหากราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่อง จะเสนอใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมันลดค่าการกลั่น หากราคาน้ำมันสำเร็จรูปขึ้นผิดปกติจากราคาน้ำมันดิบ พร้อมตั้งเป้าหมายลดใช้พลังงานหน่วยงานภาครัฐในปีนี้ลงร้อยละ 10-15

นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา "รวมพลังงานราชการไทยลดใช้พลังงานสัญจรภูมิภาค ครั้งที่ 1" ว่า เป็นห่วงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ล่าสุดทุกตลาดทำสถิติสูงสุด โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ที่ปรับขึ้นอย่างผิดปกติ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นเหตุผลมาจากปัญหาที่ยังไม่มีทางออกเกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ในอิหร่าน โดยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ไทยไม่สามารถควบคุมได้ แนวทางเดียวที่จะลดผลกระทบคือ ร่วมประหยัดน้ำมันให้มากที่สุดและส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยเฉพาะการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ที่ผลิตจากเชื้อเพลิงในประเทศ ซึ่งมีราคาเพียงร้อยละ 30-35 ของราคาน้ำมัน โดยภาครัฐได้เข้ามาสนับสนุนทั้งลดภาษีนำเข้าเครื่องยนต์เอ็นจีวี จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 0 และหารือเรื่องการลดภาษีสำหรับรถยนต์ที่ประกอบเครื่องยนต์เอ็นจีวีจากโรงงาน
นายวิเศษ กล่าวว่า ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งขึ้นอย่างรุนแรงจะจับตาดูอีก 1-2 วัน ว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วอีกหรือไม่ ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าจะกระทบราคาขายปลีกในประเทศ ทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น และหากราคาในตลาดโลกยังผันผวนเช่นนี้และราคาในประเทศปรับขึ้นไปอีก มาตรการที่จะช่วยเหลือคงจะใช้มาตรการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้อีกแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนน้ำมันดีเซลไปแล้ว 1 บาทต่อลิตร เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ จะต้องชำระหนี้ 65,000 ล้านบาท จากมาตรการตรึงราคาน้ำมันก่อนหน้านี้ให้หมดภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยหากราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก กระทรวงพลังงานจะหามาตรการเพิ่มเติม โดยจะหารือกับหน่วยงานอื่น ๆ ว่าจะเข้ามาลดผลกระทบได้อย่างไร โดยเฉพาะการหารือกับกระทรวงการคลัง ว่าสมควรจะต้องปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันหรือไม่ เพื่อลดภาระต้นทุนทางเศรษฐกิจ โดยหากจะปรับลดน่าจะเป็นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ จะพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นของราคาน้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบตลาดโลกว่าเป็นไปในทิศทางสอดคล้องกันหรือไม่ หากไม่สอดคล้องกัน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับขึ้นสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ จะต้องขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมันให้ปรับลดค่าการกลั่นลงมา แต่ขอยืนยันว่าภาครัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงด้วยการสั่งให้ลดค่าการกลั่น แต่จะเป็นการหารือของผู้ค้าน้ำมันกับโรงกลั่น
“การลดค่าการกลั่น ภาครัฐไม่เข้าไปแทรกแซง แต่เป็นการช่วยเหลือในภาวะที่ไม่ปกติเช่นนี้ ซึ่งกรณีดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น ในปีที่แล้ว ช่วงเกิดพายุเฮอริเคนในสหรัฐ โรงกลั่นลดค่าการกลั่นให้ผู้ค้า ส่วนมาตรการภาษีจะปรับลดหรือไม่ กระทรวงการคลังคงจะพิจารณาอย่างรอบคอบว่าอะไรเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่ากัน” นายวิเศษ กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังกล่าวถึงข้อร้องเรียนของสมาคมขนส่ง ว่า ขณะนี้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันในต่างจังหวัดและสถานีบริการเรียกเก็บส่วนต่างน้ำมันเพิ่มขึ้น หากเติมน้ำมันถึง 1,000 บาท ว่า จะเรียกประชุมผู้ค้าน้ำมันว่าจะร่วมมือแก้ปัญหากันอย่างไร ซึ่งปัญหานี้คงจะหมดไป หากค่าการตลาดสอดคล้องกับต้นทุนจริง แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ผู้ค้าน้ำมันเข้ามาช่วยลดภาระให้ประชาชนด้วยการไม่ปรับราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จึงเกิดปัญหาขึ้น ส่วนมูลค่าการนำเข้าน้ำมันปีนี้ แม้ว่าประชาชนจะลดการใช้น้ำมัน แต่คาดว่ามูลค่าการนำเข้าจะสูงประมาณ 650,000-700,000 ล้านบาท จากปริมาณนำเข้าน้ำมันประมาณ 300 ล้านบาร์เรลต่อปี เนื่องจากราคาในตลาดโลกสูงเกินจากที่คาดการณ์ ส่งผลต่อการขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นายวิเศษ กล่าวด้วยว่า ภาครัฐได้กำหนดนโยบายให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ร่วมมือกันประหยัดพลังงานเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายลดการใช้พลังงานในภาครัฐร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับปี 2546 โดยหน่วยงานภาครัฐได้ให้ความร่วมมือปรับลดการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง ปี 2548 ลดการใช้พลังงานคิดเป็นเงินกว่า 5,243 ล้านบาท และปีนี้ นับเป็นปีแรกที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้กำหนดให้การประหยัดพลังงานเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติของทุกหน่วยงานราชการด้วย โดยแนวทางประหยัดพลังงานแบบง่ายๆ อาทิ การกำหนดเวลาเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ การบริหารจัดการการใช้รถยนต์และปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้เอ็นจีวี
นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา "รวมพลังงานราชการไทยลดใช้พลังงานสัญจรภูมิภาค ครั้งที่ 1" ว่า เป็นห่วงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ล่าสุดทุกตลาดทำสถิติสูงสุด โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ที่ปรับขึ้นอย่างผิดปกติ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นเหตุผลมาจากปัญหาที่ยังไม่มีทางออกเกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ในอิหร่าน โดยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ไทยไม่สามารถควบคุมได้ แนวทางเดียวที่จะลดผลกระทบคือ ร่วมประหยัดน้ำมันให้มากที่สุดและส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยเฉพาะการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ที่ผลิตจากเชื้อเพลิงในประเทศ ซึ่งมีราคาเพียงร้อยละ 30-35 ของราคาน้ำมัน โดยภาครัฐได้เข้ามาสนับสนุนทั้งลดภาษีนำเข้าเครื่องยนต์เอ็นจีวี จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 0 และหารือเรื่องการลดภาษีสำหรับรถยนต์ที่ประกอบเครื่องยนต์เอ็นจีวีจากโรงงาน
นายวิเศษ กล่าวว่า ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งขึ้นอย่างรุนแรงจะจับตาดูอีก 1-2 วัน ว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วอีกหรือไม่ ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าจะกระทบราคาขายปลีกในประเทศ ทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น และหากราคาในตลาดโลกยังผันผวนเช่นนี้และราคาในประเทศปรับขึ้นไปอีก มาตรการที่จะช่วยเหลือคงจะใช้มาตรการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้อีกแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนน้ำมันดีเซลไปแล้ว 1 บาทต่อลิตร เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ จะต้องชำระหนี้ 65,000 ล้านบาท จากมาตรการตรึงราคาน้ำมันก่อนหน้านี้ให้หมดภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยหากราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก กระทรวงพลังงานจะหามาตรการเพิ่มเติม โดยจะหารือกับหน่วยงานอื่น ๆ ว่าจะเข้ามาลดผลกระทบได้อย่างไร โดยเฉพาะการหารือกับกระทรวงการคลัง ว่าสมควรจะต้องปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันหรือไม่ เพื่อลดภาระต้นทุนทางเศรษฐกิจ โดยหากจะปรับลดน่าจะเป็นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ จะพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นของราคาน้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบตลาดโลกว่าเป็นไปในทิศทางสอดคล้องกันหรือไม่ หากไม่สอดคล้องกัน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับขึ้นสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ จะต้องขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมันให้ปรับลดค่าการกลั่นลงมา แต่ขอยืนยันว่าภาครัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงด้วยการสั่งให้ลดค่าการกลั่น แต่จะเป็นการหารือของผู้ค้าน้ำมันกับโรงกลั่น
“การลดค่าการกลั่น ภาครัฐไม่เข้าไปแทรกแซง แต่เป็นการช่วยเหลือในภาวะที่ไม่ปกติเช่นนี้ ซึ่งกรณีดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น ในปีที่แล้ว ช่วงเกิดพายุเฮอริเคนในสหรัฐ โรงกลั่นลดค่าการกลั่นให้ผู้ค้า ส่วนมาตรการภาษีจะปรับลดหรือไม่ กระทรวงการคลังคงจะพิจารณาอย่างรอบคอบว่าอะไรเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่ากัน” นายวิเศษ กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังกล่าวถึงข้อร้องเรียนของสมาคมขนส่ง ว่า ขณะนี้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันในต่างจังหวัดและสถานีบริการเรียกเก็บส่วนต่างน้ำมันเพิ่มขึ้น หากเติมน้ำมันถึง 1,000 บาท ว่า จะเรียกประชุมผู้ค้าน้ำมันว่าจะร่วมมือแก้ปัญหากันอย่างไร ซึ่งปัญหานี้คงจะหมดไป หากค่าการตลาดสอดคล้องกับต้นทุนจริง แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ผู้ค้าน้ำมันเข้ามาช่วยลดภาระให้ประชาชนด้วยการไม่ปรับราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จึงเกิดปัญหาขึ้น ส่วนมูลค่าการนำเข้าน้ำมันปีนี้ แม้ว่าประชาชนจะลดการใช้น้ำมัน แต่คาดว่ามูลค่าการนำเข้าจะสูงประมาณ 650,000-700,000 ล้านบาท จากปริมาณนำเข้าน้ำมันประมาณ 300 ล้านบาร์เรลต่อปี เนื่องจากราคาในตลาดโลกสูงเกินจากที่คาดการณ์ ส่งผลต่อการขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นายวิเศษ กล่าวด้วยว่า ภาครัฐได้กำหนดนโยบายให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ ร่วมมือกันประหยัดพลังงานเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายลดการใช้พลังงานในภาครัฐร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับปี 2546 โดยหน่วยงานภาครัฐได้ให้ความร่วมมือปรับลดการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง ปี 2548 ลดการใช้พลังงานคิดเป็นเงินกว่า 5,243 ล้านบาท และปีนี้ นับเป็นปีแรกที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้กำหนดให้การประหยัดพลังงานเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติของทุกหน่วยงานราชการด้วย โดยแนวทางประหยัดพลังงานแบบง่ายๆ อาทิ การกำหนดเวลาเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ การบริหารจัดการการใช้รถยนต์และปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้เอ็นจีวี