บุญรอดฯปรับแผนบุก ชาเขียวโมชิ ใหม่ หลังยังไม่ถึงเป้าหมาย อยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยแชร์แค่ 2% ตัดใจดั๊มราคาเหลือ 15 บาทต่อขวด หวังขยายฐานให้กว้างขึ้น สู้กับคู่แข่งรายใหญ่ที่ขายขวดละ 20 บาท พร้อมเปิดตัวรสชาติใหม่ ผลไม้รวม หวังสร้างทางเลือกเพิ่มขึ้น ทุ่มงบตลาดปีนี้ 80 ล้านบาทลุยเต็มที่
นายสันต์ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราสิงห์ชาเขียวโมชิ กล่าวว่า บริษัทฯได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแผนการตลาดของชาเขียวโมชิใหม่ หลังจากที่วางตลาดมาเกือบ 1 ปี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยขณะนี้มีส่วนแบ่งตลาดในอันดับที่ 5 ด้วยแชร์ 2% ขณะที่ผู้นำตลาดคือ โออิชิ มีส่วนแบ่งกว่า 60% อันดับที่สองคือ ยูนิฟ 20% เซนชะ มีแชร์ 6% และเพียวริคุอันดับที่สี่มีแชร์ 3%
ทั้งนี้บริษัทฯได้ตัดสินใจปรับราคาจำหน่ายของชาเขียวโมชิลง 5 บาท เหลือจำหน่ายราคาใหม่ 15 บาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้ฐานของโมชิกว้างขึ้น เพราะราคาที่ต่ำลง จากเดิมที่ราคา 20 บาท เหมือนค่ายอื่นทั่วไป อย่างไรก็ตามสาเหตุที่สามารถลดราคาได้แต่ยังคงไว้คุณภาพ เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการเครื่องดื่มรายใหญ่มีอำนาจต่อรองกับซัปพลายเออร์ต่างๆเช่น วัตถุดิบการผลิตหรือแพกเกจจิ้ง เป็นต้น
ขณะเดียวกันจะมีแผนในการออกรสชาติใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสร้างทางเลือกให้ก้บผู้บริโภคด้วย ซึ่งคู่แข่งแต่ละรายก็มีรสชาติจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันโมชิ มี 3 รสชาติ
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังมีความมั่นใจว่า ตลาดชาเขียวจะยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอีกต่เนื่อง แม้ว่าในเวลานี้จะอยู่ในช่วงที่ตลาดซบเซาหรือขาลงก็ตาม เนื่องจากอัตราการบริโภคชาเขียวของคนไทยยังต่ำมากประมาณ 2 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้น ขณะที่คนญี่ปุ่นดื่มมากถึง 27 ลิตรต่อคนต่อปี แต่ยอมรับว่าตลาดชาเขียวคงจะไม่กลับไปหวือหวาหรือเฟื่องฟูเหมือนอดีต 2-3 ปีที่ผ่านมาแล้ว
นายสันต์กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการรุกตลาดอย่างจริงจัง ได้ตั้งงบการทำตลาดโมชิปีนี้ไว้ 80 ล้านบาท โดยในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ใช้ไปประมาณ 10% เท่านั้นเอง เพราะต้องการที่จะมาใช้มากในช่วงหน้าร้อนซึ่งเป็นช่วงหน้าขายมากสุด ซึ่งจะมีทั้งการออกรสชาติใหม่และการจัดกิจกรรม
ล่าสุดโมชิได้เปิดตัวรสชาติใหม่คือ รสผลไม้รวม ซึ่งมีรสชาติคล้ายกับเครื่องดื่มชูกำลัง แต่เป็นคนละตลาดกันแน่นอน เพราะไม่สามารถมาทดแทนกันได้ในแง่ของฟังค์ชั่น โดยจะเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นทั้งผู้หญิงและผู้ชายอายุ 15-25 ปี และมั่นใจว่ารสชาติใหม่นี้จะเป็นที่นิยมในท้องตลาดเหมือนกับรสชาติเดิมที่ออกมาแล้วแน่นอน
นอกจากนั้นในช่วงปลายปีนี้บริษัทฯวางแผนที่จะเปิดตัวรสชาติใหม่อีกเช่นกัน รวมกับกิจกรรมตลาดใหม่ๆต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการอื่นในท้องตลาดได้
นายสันต์ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราสิงห์ชาเขียวโมชิ กล่าวว่า บริษัทฯได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแผนการตลาดของชาเขียวโมชิใหม่ หลังจากที่วางตลาดมาเกือบ 1 ปี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยขณะนี้มีส่วนแบ่งตลาดในอันดับที่ 5 ด้วยแชร์ 2% ขณะที่ผู้นำตลาดคือ โออิชิ มีส่วนแบ่งกว่า 60% อันดับที่สองคือ ยูนิฟ 20% เซนชะ มีแชร์ 6% และเพียวริคุอันดับที่สี่มีแชร์ 3%
ทั้งนี้บริษัทฯได้ตัดสินใจปรับราคาจำหน่ายของชาเขียวโมชิลง 5 บาท เหลือจำหน่ายราคาใหม่ 15 บาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้ฐานของโมชิกว้างขึ้น เพราะราคาที่ต่ำลง จากเดิมที่ราคา 20 บาท เหมือนค่ายอื่นทั่วไป อย่างไรก็ตามสาเหตุที่สามารถลดราคาได้แต่ยังคงไว้คุณภาพ เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการเครื่องดื่มรายใหญ่มีอำนาจต่อรองกับซัปพลายเออร์ต่างๆเช่น วัตถุดิบการผลิตหรือแพกเกจจิ้ง เป็นต้น
ขณะเดียวกันจะมีแผนในการออกรสชาติใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสร้างทางเลือกให้ก้บผู้บริโภคด้วย ซึ่งคู่แข่งแต่ละรายก็มีรสชาติจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันโมชิ มี 3 รสชาติ
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังมีความมั่นใจว่า ตลาดชาเขียวจะยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอีกต่เนื่อง แม้ว่าในเวลานี้จะอยู่ในช่วงที่ตลาดซบเซาหรือขาลงก็ตาม เนื่องจากอัตราการบริโภคชาเขียวของคนไทยยังต่ำมากประมาณ 2 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้น ขณะที่คนญี่ปุ่นดื่มมากถึง 27 ลิตรต่อคนต่อปี แต่ยอมรับว่าตลาดชาเขียวคงจะไม่กลับไปหวือหวาหรือเฟื่องฟูเหมือนอดีต 2-3 ปีที่ผ่านมาแล้ว
นายสันต์กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการรุกตลาดอย่างจริงจัง ได้ตั้งงบการทำตลาดโมชิปีนี้ไว้ 80 ล้านบาท โดยในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ใช้ไปประมาณ 10% เท่านั้นเอง เพราะต้องการที่จะมาใช้มากในช่วงหน้าร้อนซึ่งเป็นช่วงหน้าขายมากสุด ซึ่งจะมีทั้งการออกรสชาติใหม่และการจัดกิจกรรม
ล่าสุดโมชิได้เปิดตัวรสชาติใหม่คือ รสผลไม้รวม ซึ่งมีรสชาติคล้ายกับเครื่องดื่มชูกำลัง แต่เป็นคนละตลาดกันแน่นอน เพราะไม่สามารถมาทดแทนกันได้ในแง่ของฟังค์ชั่น โดยจะเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นทั้งผู้หญิงและผู้ชายอายุ 15-25 ปี และมั่นใจว่ารสชาติใหม่นี้จะเป็นที่นิยมในท้องตลาดเหมือนกับรสชาติเดิมที่ออกมาแล้วแน่นอน
นอกจากนั้นในช่วงปลายปีนี้บริษัทฯวางแผนที่จะเปิดตัวรสชาติใหม่อีกเช่นกัน รวมกับกิจกรรมตลาดใหม่ๆต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการอื่นในท้องตลาดได้