xs
xsm
sm
md
lg

พาต้าชงไอเดีย5แนวโน้มท่องเที่ยวททท.มุ่งอินเดีย-จีนเจาะเบบี้บูมเมอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พาต้าแนะ 5 แนวโน้มใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แนะผู้ประกอบการปรับตัวสู้ ขณะที่ ททท.เล็งบุกตลาด อินเดีย-จีน และกลุ่ม Baby Boommer  หรือผู้เกิดหลังสงครามในประเทศญี่ปุ่น ชูประเทศไทย เป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย   ด้านพาต้าเผยปีหน้า จะลดขนาดการจัดงานให้เล็กลงแต่กระชับขึ้น หวังดันประเทศขนาดเล็กให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมได้

วานนี้(24 เม.ย.)ในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 55 ของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (พาต้า) นายโฮ กวน ปิง ประธานคณะกรรมการบริหาร บันยันทรี กรุ๊ป  เปิดเผยว่า จากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ลักษณะประชากร เช่น อายุ เพศ การศึกษา วิถีชีวิตชุมชน จะมีผลให้การท่องเที่ยวเกิดขึ้นมากมายและลงลึกแบบปลีกย่อยเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล  ส่งผลให้เกิด 5 แนวโน้มใหม่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ประกอบด้วย 1. เกิดกระแสความต้องการการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ ในลักษณะโพสต์ โมเดิร์น ทัวร์ริสซึ่ม ที่จะมีการแบ่งประเภทการท่องเที่ยวออกเป็นลักษณะเฉพาะ  เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม  การท่องเที่ยวเชิงการเกษตร การท่องเที่ยวเพื่อศึกษาชีวิตและชุมชน และการท่องเที่ยวตามความต้องการของแต่ละบุคคล เป็นต้น

แนวโน้มที่ 2. เกิดการรวมตัวของธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมที่พักต่างๆ จะมีการรวมตัวกันเหลือเพียง กลุ่มผู้บริหารโรงแรมระดับสากล ที่เป็นโกลบอลแบรนด์เพียงไม่กี่เชน และแตกบริการปลีกย่อย เช่น บูติคโฮเทล ตอบสนองลูกค้า  แนวโน้มที่ 3 เกิดการแบ่งแยกกลุ่มการเดินทางอากาศ  ตามความต้องการของผู้บริโภค  เช่นเดียวกับการเดินทางโดยทางบก  ที่มีรูปแบบการเดินทางหลายประเภท  เช่น รถไฟ รถทัวร์ รกแท๊กซี่ รถลีมูซีย ซึ่งแนวโน้มการเดินทางอากาศจะมีให้บริการหลากหลายรูปแบบ เช่น บริการเครื่องบินเช่าส่วนตัว คล้ายกับรถแท๊กซี่ เป็นต้น

แนวโน้มที่ 4 เป็นผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างประเทศอินเดียและจีน  ทำให้การท่องเที่ยวในเอเชียเติบโตมากขึ้น  ซึ่งผู้บริหารของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องมีการพัฒนาศักยภาพเพื่อขึ้นเป็นผู้นำในระดับต้นๆ ของภูมิภาค การแบ่งแยกสีผิวจะลดลง จากในอดีต ที่ลูกค้าจะเป็นกลุ่มยุโรป ส่วนผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมจะมาจากกลุ่มประเทศคนผิวขาว

แนวโน้มที่ 5 เป็นผลจากการเดินทางเพิ่มมากขึ้นของชาวจีนและอินเดีย ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิคใต้  ซึ่งทำให้การเดินทางแลกเปลี่ยนระหว่างสองภูมิภาคดังกล่าว หากประเทศอื่นๆ ไม่มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวของตนเองจะทำให้สูญเสียตลาดการท่องเที่ยวไปได้

จากข้อมูลดังกล่าวผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกรวมถึงประเทศไทย จะต้องมีการปรับตัวพร้อมกับเรียนรู้เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

เล็งขยายตลาดอินเดีย-จีนเข้าชนชั้นกลาง
ทางด้านนางพรศิริ มโนหาญ รองผู้ว่าการ ฝ่ายตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า  จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จีน และอินเดีย ส่งผลให้ชนชั้นกลางของทั้ง 2 ประเทศมีกำลังซื้อ และต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น โดยในส่วนของประเทศจีน เราจะใช้ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างสองประเทศ ก่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน  โดยเฉพาะมณฑลจีนตอนใต้ ซึ่งติดกับประเทศไทย  ดังนั้นอาจต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลเรื่องการแก้ไขกฏระเบียบการเข้าเมืองของชาวจีนให้เดินทางเข้าประเทศไทยได้ง่ายขึ้น  

ขณะเดียวกัน เรื่องปัญหาความปลอดภัย และการหลอกลวงนักท่องเที่ยวจีน ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้โดยตรง  ส่วนตลาดอินเดีย  เราจะเจาะกลุ่มครอบครัว  คอปอเรท และ กลุ่มถ่ายทำภาพยนตร์  ซึ่ง 3 กลุ่มนี้มีการเติบโตสูง ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งตลาดหลักอย่างญี่ปุ่น ซึ่งจะมีการเติบโตสูงในกลุ่ม Baby boomer หรือผู้ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่จะเริ่มเกษียณอายุ หรือมีอายุ 60 ปี นับจากปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งคนกลุ่มนี้ มีกำลังซื้อสูง และมีความต้องการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน

ชูไทยแลนด์แกรนด์ฯขายแหล่งท่องเที่ยว
จุดขายของประเทศไทย ซึ่งมีความหลากหลายทางการท่องเที่ยว ก็จะจัดเป็นแพกเกจ พร้อมนำเสนอขายให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น สปา กอล์ฟ สุขภาพ ชอปปิ้ง  ตลอดจนการท่องเที่ยว แบบเรียนรู้ในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชน   ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ของไทยที่เกิดขึ้น ได้ แก่ สยามนิรมิตร  สยามพารากอน สวนสัตว์เปิดไนท์ซาฟารี   และสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น

ในปีนี้ซึ่งถือเป็นปีพิเศษ แห่งการเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ในนามรัฐบาลไทย ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติตลอดทั้งปี ภายใต้โครงการ ไทยแลนด์ แกรนด์ อินวิเทชั่น เช่น  พระราชพิธีทางชลมาศ ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายน   การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ มหกรรดนตรีเทิดพระเกียรติ  ส่วนกิจกรรมประจำปีก็จะมีการจัดอย่างยิ่งใหญ่ เช่น  การแห่เทียนเข้าพรรษา และ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น

ทางด้านนางจุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า  ไทยได้รับเลือกเป็นประเทศจัดประชุม การจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 55 ของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก(พาต้า) ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 4  ซึ่งในปีนี้ มีสมาชิกเข้าร่วมประชุมกว่า  1,100 คน จาก 40 ประเทศทั่วโลก และที่เลือกพัทยา เป็นพื้นที่จัดประชุมครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการโปรโมตพัทยา ให้เป็นขุมทรัพย์ทางการท่องเที่ยวของไทยอย่างแม้จริง  มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย เพื่อการพักผ่อนของกลุ่มครอบครัว  และมีความโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการประชุมสัมนาระดับนานาชาติที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมาตรฐาน โดยในปี 2548 พัทยา มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาถึง 3.57 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 คิดเป็น 6.13% ก่อเกิดรายได้หมุนเวียนกว่า 4 หมื่นล้านบาท

ลดขนาดงานพาต้าหวังดันประเทศเล็กเกิด
ด้านนาย ปีเตอร์ เดอ จอง ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร  สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก(พาต้า) กล่าวว่า สำหรับการประชุม พาต้าในปีต่อไป จะจัดขึ้นที่ประเทศ อินโดนีเซีย  โดยพาต้า จะมีการลดขนาดการจัดงานให้เล็กลง เน้นเฉพาะเนื้อหาหลักๆในประเด็นที่น่าสนใจทางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และใช้เวลาในการจัดงานให้สัดลงและกระชับด้วยเนื้อหา ส่วนผู้เข้าร่วมประชุม จะเป็นระดับ ผู้ใหญ่ หรือ ระดับซีอีโอ เป็นหลัก ดังนั้นจะเหลือจำนวนผู้ร่วมประชุมประมาณ 500 คน จากปัจจุบันผู้เข้าร่วมประชุมจะอยู่ประมาณ 1,000 คน เหตุผลเพื่อต้องการให้ประเทศขนาดเล็ก สามารถเป็นเจ้าภาพจัดประชุมได้ เพราะจำนวนคนทำให้เกิดข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ในการจัดประชุม ขณะเดียวกันมองว่าในโลกยุคใหม่ ที่มีการสื่อสารสะดวก โดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ทำให้กาตติดต่อเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
กำลังโหลดความคิดเห็น