xs
xsm
sm
md
lg

ท่าเทียบเรือยอชท์-แข่งแล่นเรือใบ แหล่งดูดเงินเศรษฐีกระเป๋าหนักไทย-เทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แม้ว่าโครงการมารีน่า หรือท่าเทียบเรือยอชท์ ที่รัฐบาลตั้งท่าจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จะเริ่มมีความคืบหน้าไปบ้าง แต่กลับต้องถูกดองด้วยเหตุผลทางการเมือง-และการประกาศยุบสภา เช่นเดียวกับเมกกะโปรเจกต์หลายโครงการต้องหยุดชะงัก เพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลชุดใหม่ ไม่เว้นแม้แต่โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า โครงการ"ริเวียร่า"

อย่างไรก็ตามในส่วนของภาคเอกชนไม่ได้หยุดรอช้าด้วย แต่กลับสร้างกระแสให้ทั้งคนไทยและคนต่างชาติรับรู้ว่าประเทศไทยกำลังจะมีท่าเทียบเรือยอชท์หรือมารีน่า ด้วยการจัดแข่งขันแล่นเรือใบและเรือยอชท์ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันเรือใบ ชิงถ้วยพระราชทาน "ภูเก็ต คิงส์ คัพ" และล่าสุด การจัดแข่งขัน Top of the Gulf International Regatta หรือการแข่งขันเรือใบนานาชาติ ที่หาดจอมเทียน พัทยา ซึ่งจัดโดยโอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทำโครงการคอนโดมิเนียม ริมหาดจอมเทียน พร้อมสร้างท่าจอดเรือยอชท์ที่เป็นของบริษัทเอง หวังเอาใจเศรษฐีกระเป๋าหนักที่ชื่นชอบการล่องเรือ

จะเห็นได้ว่าทุกการแข่งขันแล่นเรือใบและเรือยอชท์ ล้วนจัดขึ้นโดยภาคเอกชนทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะเขามีท่าเทียบเรือที่ลงทุนเอง จึงต้องจัดกิจกรรมสร้างกระแสการรับรู้ ทั้งที่ภูเก็ตและพัทยา จนตอนนี้เกือบจะเรียกได้ว่า การจัดแข่งขันเรือใบในรูปแบบดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนไทย แต่สิ่งที่จะเห็นต่อไปในอนาคต คือการสร้างตลาดคนไทยกลุ่มนี้ขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นกลุ่มเศรษฐี ที่มีกำลังซื้อสูง และมักจะเดินทางออกไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศ ก็จะหันมาเที่ยว และทำกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ของ ททท.อีกหนึ่งประการที่ต้องการให้คนไทยระดับไฮเอนด์ ได้รับรู้ว่าประเทศไทยมีอะไรที่น่าเที่ยวและเหมาะกับความต้องการของคนกลุ่มนี้

ท่าเทียบเรือยอชท์แต่ละแห่ง มักจะมีการก่อสร้างโรงแรมที่พักไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะต้องลงทุนเหยียบพันล้านบาท แต่ที่เอกชนกล้าลงทุนเพราะมองเห็นโอกาสทางการตลาด เพราะต่างรู้ดีว่ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้มีการเพิ่มจำนวนของกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับบน ซึ่งรวมถึงกลุ่มแล่นเรือยอชท์และเรือใบด้วย เพราะจะทำให้มีเงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น และที่สำคัญรายได้เหล่านี้ได้กระจายอย่างทั่วถึงตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงนักธุรกิจหรือผู้ประกอบการ เพราะการจอดเรือและทำความสะอาดเรือแต่ละครั้งก็ต้องใช้แรงงานคนไทย การเข้าพักในโรงแรมหรูหรา ก็จะกระจายรายได้สู่บริการผู้ให้บริการ ตลอดจนการชอปปิ้งซื้อสินค้า และท่องเที่ยวอื่นๆ ระหว่างเข้ามาพำนักในช่าวเวลา 7-10 วัน ซึ่งต่อคนจะมีค่าใช้จ่ายต่อวันไม่น้อยกว่า 3-5 หมื่นบาท

จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการที่มีท่าเทียบเรือยอชท์ ทั้งที่ภูเก็ต และพัทยา จะต้องเร่งทำการตลาด สร้างการรับรู้ ซึ่งโอเชี่ยนฯซึ่งถือว่ามีทำเลที่ได้เปรียบตรงที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ต้องเร่งทำกลยุทธ์ทางการตลาดดึงนักท่องเที่ยวให้หันมาเที่ยวในพัทยามากขึ้น โดยหวังว่าตลาดท่องเที่ยวในพัทยาจะคึกคักมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้โอเชี่ยนฯ จะจัดกิจกรรททุกๆ2เดือนในอ่าวไทยและมีกิจกรรมใหญ่อย่าง Top of the Gulf International Regatta ที่เป็นการแข่งเรือใบระดับนานาชาติ ซึ่งจัดประจำเป็นทุกๆปีและปีนี้เป็นปีที่ 2

ในส่วนของภาครัฐ ล่าสุดทางจังหวัดพังงา ก็มีแนวคิดสร้างท่าเรือมารีน่า เช่นกัน ด้วยเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท จะแล้วเสร็จภายใน 2 ปีนับจากนี้ไป ขณะที่ ททท.เองก็เคยสำรวจไว้ว่าตั้งแต่บริเวณทะเลอันดามันฝั่งจังหวัดระนองเลียบลงมาถึงภูเก็ต และฝั่งทะเลอ่าวไทยตั้งแต่เพชรบุรี- ประจวบฯ ชุมพร มีจุดที่มีศักยภาพสามารถสร้างเป็นมารีน่าได้มากถึง กว่า 20 แห่ง โดยเฉพาะบริเวณประจวบฯและชุมพร ที่สามารถสร้างได้มากกว่า 3 แห่ง ดังนั้นหากรัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะส่งเสริมธุรกิจมารีน่าให้เกิดขึ้นในประเทศไทยย่อมทำได้ไม่ยาก พร้อมเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าไปลงทุนด้วยเงื่อนไขที่จูงใจ

ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดจัดทำโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลอ่าวไทย หรือ ริเวียร่า สาเหตุที่เลือกทำชายทะเลฝั่งอ่าวไทย เพราะต้องการเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปเที่ยวฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งในอนาคต ตามเป้าหมายที่ททท.วางไว้ว่าจะต้องมีนักท่องเที่ยวให้ได้ 20 ล้านคน ในปี พ.ศ.2551 แหล่งท่องเที่ยวเดิมๆที่มีอยู่อาจไม่พอรองรับ ขณะเดียวกันยังได้พัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลในจังหวัง เพชรบุรี ประจวบฯ ชุมพร และระนอง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ สร้างงานสร้างเงินให้กับคนในท้องถิ่น โดยโครงการนี้รัฐจะเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเท่าที่ศึกษาไว้จะต้องใช้เงินขั้นต่ำประมาณ 26,203 ล้านบาท ระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ขณะที่ภาคเอกชนจะเข้ามาลงทุนในเรื่องของธุรกิจบริการ และโรงแรมที่พัก ซึ่งน่าจะเป็นเม็ดเงินราว 350,000 ล้านบาท โดยคาดหวังว่าโครงการนี้จะสร้างรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่าปีละ 98,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามโครงการริเวียร่าจะเดินหน้าต่อไปได้เร็วแค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับการทำงานของรัฐบาลและผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบดูแลโครงการนี้ ซึ่งจะต้องทำด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่เอื้อประโยชน์ให้ต่างชาติจนเกินเหตุจนคนไทยด้วยกันเสียสิทธิ์ แต่ก็ไม่ใช่จะปิดกันเงินทุนต่างประเทศเอาเสียเลย เพราะก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่นอกจากเราจะได้เงินตราต่างประเทศแล้ว เรายังได้แนวคิดและเทคโนโลยีอื่นๆอีกมากมาย แต่ที่สำคัญ ควรเดินหน้าโครงการนี้ให้เร็ว เพราะถึงวันนี้ทุกประเทศล้วนมีเป้าหมายสร้างรายได้จากธุรกิจการท่องเที่ยว ดังนั้นการแข่งขันจะยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะ ไทยเราจึงต้องมีจุดขายที่โดดเด่นและแตกต่าง
กำลังโหลดความคิดเห็น