ไทยร่วมกับเอดีบีประกาศเป็นหุ้นส่วนในการร่วมกันพัฒนาประเทศไทยแบบยั่งยืน รวมถึงการร่วมพัฒนาประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง หลังจากไทยพัฒนาและยกระดับขึ้นเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงผลการประชุมเพื่อพิจารณาจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ว่า ที่ประชุมได้กำหนดกรอบความร่วมมือฉบับแรกที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) จัดทำร่วมกับประเทศตามกรอบรายได้ระยะปานกลาง 5 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนฐานะเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง โดยไม่ได้กู้เงินจาก เอดีบี มาเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากมีฐานะทางการเงินและเศรษฐกิจดีขี้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้น เอดีบี จึงพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การจัดทำกรอบความร่วมมือแทน
นายนริศ กล่าวว่า กรอบความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ตลอดจนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจาก เอดีบี มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นแหล่งเงินทุน มีเครื่องมือทางการเงินและสามารถดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน ตลอดจนช่วยเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในความร่วมมือระดับภูมิภาคและการรวมตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งประสบการณ์การพัฒนาของประเทศไทย จะได้นำไปช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค และการจัดการปัญหาข้ามพรมแดนต่าง ๆ เช่น อุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการควบคุมโรคติดต่อในชุมชน
นายนริศ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแนวทางการดำเนินการต่อไปของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างความเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2549 หลังจากนั้น เอดีบี จะได้ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานของ เอดีบี ในประเทศไทยต่อไป
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงผลการประชุมเพื่อพิจารณาจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ว่า ที่ประชุมได้กำหนดกรอบความร่วมมือฉบับแรกที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) จัดทำร่วมกับประเทศตามกรอบรายได้ระยะปานกลาง 5 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนฐานะเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง โดยไม่ได้กู้เงินจาก เอดีบี มาเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากมีฐานะทางการเงินและเศรษฐกิจดีขี้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้น เอดีบี จึงพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การจัดทำกรอบความร่วมมือแทน
นายนริศ กล่าวว่า กรอบความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ตลอดจนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจาก เอดีบี มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นแหล่งเงินทุน มีเครื่องมือทางการเงินและสามารถดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน ตลอดจนช่วยเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในความร่วมมือระดับภูมิภาคและการรวมตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งประสบการณ์การพัฒนาของประเทศไทย จะได้นำไปช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค และการจัดการปัญหาข้ามพรมแดนต่าง ๆ เช่น อุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการควบคุมโรคติดต่อในชุมชน
นายนริศ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแนวทางการดำเนินการต่อไปของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างความเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2549 หลังจากนั้น เอดีบี จะได้ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานของ เอดีบี ในประเทศไทยต่อไป